top of page

The story after that. - ต้นน้ำ

     ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะทำตัวอารมณ์ไหนดีครับ ผมไม่ชอบที่ถูกทำแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าผมหวงเนื้อหวงตัวหรือเกรงใจพี่ชัชหรอกนะครับ แต่กับคนที่คิดอกุศลกับผมแบบนั้น ผมแค่... ขยะแขยง แต่ก็เพราะรู้ดีว่าโค่น่ะนิสัยหื่นไปวันๆ นั่นแหละครับ หื่นบริสุทธิ์ไม่ได้คิดอะไร ผมถึงได้... สมเพช? ไม่สิ ขำด้วย ในสถานการณ์แบบนั้นยังจะฉวยโอกาสได้อีก น่ารังเกียจจริงๆ แต่ผมก็รู้ดีว่าถึงบ่นไปก็ใช่ว่าได้อะไรขึ้นมา เมย์เองยังเคยโดนโค่แกล้งจับหน้าอกมาแล้ว ไอ้บ้านี่ชอบลวนลามชาวบ้านเขาไปทั่ว แรกๆ พวกเรารังเกียจครับ แต่หลังๆ ก็เริ่มชิน แต่พอนึกถึงที่ตัวเองทำประชดไปแบบนั้นผมก็... ถ้าพี่ชัชรู้ต้องโกรธผมแน่ๆ  

 

     “ต้น นายไม่เป็นไรนะ”

 

     เมย์ถามผมระหว่างที่เรากำลังรอรถอยู่ สายตาของเมย์ดูเป็นห่วงผมมากๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมกับเมย์ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลยครับ

 

     “อื้อ เราไม่เป็นไรแล้ว”

 

     “นายยังโกรธพวกมันอยู่ป่ะ?”

 

     ป่านถามขึ้นพร้อมกับพยักเพยิดไปทางด้านหลังผม พวกนั้นก็ตามมาจนได้นั่นแหละครับ แน่ล่ะ ขืนไม่มาก็ไม่มีอะไรกิน เพียงแต่พวกนั้นไม่กล้าเข้ามาใกล้ผมก็เท่านั้นเอง

 

     “โกรธโค่ที่ทำบ้าๆ จนลืมอย่างอื่นไปหมดแล้ว”

 

     “อย่าถือมันเลยน่า มันก็หื่นงี้มาแต่ไหนแต่ไร มันยังแอบจับนมฉันมาแล้วเลย จะว่าไปมันก็แกล้งเปิดกระโปรงแก้วด้วยนี่ตอนปีหนึ่งอ่ะ แต่แกต่อยมันไปแบบนั้นคงไม่กล้ามาทำไรแกแล้วล่ะ”

 

     “โดนผู้ชายด้วยกันลวนลามอย่างกับเราเป็นผู้หญิงเนี่ยนะ? ให้มันไปลวนลามคนอื่นๆ ในภาคบ้างเหอะ”

 

     ผมเบ้ปากพลางส่ายหน้าด้วยความรู้สึกขนลุก พอเห็นผมหงุดหงิดแบบนี้ ป่านเลยจงใจชวนผมคุยเรื่องอื่น ดูท่าผมคงต้องสงบสติอารมณ์ตัวเองซักหน่อยแล้ว และการนึกย้อนไปถึงเรื่องดีๆ ที่รอผมอยู่ก็ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมนึกถึงเตอร์ครับ ไม่ได้เจอตั้งนานไม่รู้จะสูงขึ้นอีกกี่เซนฯ

 

     ตอนที่ผมถูกลากพาเข้าไปในห้องนั้น ผมไม่ได้ร้องไห้ เพียงแต่ผมหยุดน้ำตาที่มันไหลออกมาไม่ได้ก็แค่นั้นเอง แก้วไม่ได้พูดอะไรเธอแค่วางมือบนไหล่ผมแล้วก็ปล่อยให้ผมสงบสติอารมณ์ เราคงนั่งกันอยู่แบบนั้นอีกนานถ้าหากว่าเสียงโทรศัพท์ของผมไม่ดังขึ้นซะก่อน ชื่อของคนที่โทรเข้ามาทำให้ผมต้องรีบเช็ดน้ำตาของตัวเองทันที

 

     ผมมองหน้าแก้ว แก้วส่งทิชชู่ให้ผม ผมเช็ดน้ำตาของตัวเองแล้วก็เดินไปนั่งตรงมุมเตียงหันหลังให้แก้ว แล้วก็กดรับโทรศัพท์

 

     “ฮัลโหล”

 

     “พี่ต้น ยะอะหยังเสียงเป็นตึงนั้นล่ะคับ?”

 

     “พี่คัดจมูกน่ะ สงสัยเป็นหวัด”

 

     “ไปทะเลละเป็นหวัดก๊ะ พี่ต้นนี่บ่าแข็งแรงเลย จะอี้แหละบ่ายอมพาผมไปโตย”

 

     “พี่มากับเพื่อน”

 

     ทำไมตอนที่ผมพูดประโยคนั้นผมถึงคุมเสียงของตัวเองไม่อยู่นะ น้ำตาผมไหลอีกแล้ว ไหลจนทิชชู่แผ่นเดิมเอาไม่อยู่ต้องหันไปขอจากแก้วเพิ่มอีกแผ่น

 

     “พี่ต้นๆ ผมอยากไปทะเลโตย”

 

     “ก็เอาสิ บอกให้พี่ศักดิ์พาไปสิเตอร์”

 

     “บอกแล้วๆ ผมบอกฮื้อพ่อพาผมไปทะเลแล้วก็ไปแอ่วกรุงเทพฯ โตย ผมยังบ่อเคยไปคอนโดใหม่ตี้กรุงเทพฯ ของอาชัชเลย มีสระน้ำด้วยใช่กะ?”

 

     “ฮ่าๆ ตกลงนายอยากไปทะเลหรืออยากไปเล่นน้ำในสระ”

 

     “มันก็อยากตึงคู่ก่า ผมอยากไปห้างอยากดูหนังสามมิติละก็อยากไปกินขนมกรุงเทพแหม”

 

     “ขนมกรุงเทพ?”

 

     “ก่ะโดนัทที่คนไปต่อแถวเยอะๆ นั่นเลาะ”

 

     ความร่าเริงสดใสของเตอร์ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ เตอร์อายุน้อยกว่าผมห้าปีและเป็นหลานแท้ๆ ของพี่ชัช จากการที่พี่ชัชพาผมไปเที่ยวสงกรานต์ที่บ้านเกิดนั้น ผลของมันก็คือ นอกจากผมจะได้เป็นสะใภ้ชายออกหน้าของตาของบ้านแล้วผมยังมีน้องชายที่เป็นลูกของพี่ชายพี่ชัชและหลานสาววัยกำลังซนลูกของพี่สาวพี่ชัชเพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะเตอร์ที่ติดผมมาก ผมเองก็แอบขำอยู่นิดหน่อยนะครับ เป็นเด็กกรุงเทพฯ นี่มันเท่มากขนาดนั้นเลยเหรอ?

 

     “มันไม่อร่อยขนาดนั้นหรอกมั้งเตอร์? พี่ว่าก็แค่โดนัทธรรมดาๆ แหละ”

 

     “แต่ผมอยากกินเลาะ อยากไปแอ่วห้างโตย เพื่อนผมบอกว่าจอหนังที่นั่นสูงเท่าตึกสามชั้นเชียวหนา พี่ต้นพาผมไปโตยได้ก่อ”

 

     “พี่จะพาเราไปได้ยังไง? แล้วเราไม่อยากไปทะเลแล้วเหรอ?”

 

     “ก็ผมบอกพ่อแล้วเลาะ พ่อบอกว่าจะพาผมไปแอ่วทะเล แล้วก็จะชวนย่ากับอานันไปโตย เฮาว่าจะไปกันตึงหมด จะขับรถไปละไปแวะพักคอนโดอาชัชก่อนคืนนึง”

 

     “ก็เอาสิ ไม่โทรไปอ้อนอาชัชของเราดูล่ะ?”

 

     “ปี้ต้นอู้เหมือนอีป้อขนาด!”

 

     เตอร์เผลอสบถจนหลุดคำเมืองออกมา ผมขำนะครับ ผมเนี่ยนะเหมือนพี่ศักดิ์? แต่ตอนที่เตอร์พูดประโยคนี้ พวกเมย์กับแก้วก็เปิดประตูห้องเข้ามาพอดี เมย์อ้าปากทันทีที่เห็นหน้าผม แต่ผมเอานิ้วแตะริมฝีปากไว้ซะก่อน ผมส่งภาษาให้สองสาวอ่านปากเบาๆ ว่า “คุยกับญาติ” พวกเธอเลยเงียบๆ แล้วไปเปิดโน๊ตบุ๊คเล่นกันแทน มีเสียงกระซิบกระซาบกันนิดหน่อย ส่วนเตอร์นั้นร่ายยาวไม่หยุดเลยครับ

 

     “พอผมบอกพ่อหนา พ่อก็ฮื้อโทรไปขออนุญาติอาชัช ละพี่ต้นฮู้ก่อ พอผมโทรไปหาอาชัช อาชัชเปิ้นบอกผมว่าฮื้อโทรมาขออนุญาติพี่ต้นแทน โดยเฉพาะถ้าผมจะขอค้างต่อจนกว่าจะเปิดเทอมผมต้องมาขอพี่ต้น เพราะอาชัชทำงานบ่อว่างดูแลผม ผมต้องอยู่กับพี่ต้นสองคน พี่ต้นอนุญาติผมได้ก่อ ผมอยากไปจริงๆ หนา ผมยังบ่อเคยเห็นคอนโดสวยๆ ที่มีสระว่ายน้ำเลยเลาะ มันสวยเหมือนในทีวีก่อ? ผมอยากไปเที่ยวห้างโตย”

 

     “ขนาดนั้นเลย? แล้วเตอร์จะอยู่ยังไง? ถ้าเกิดบางวันที่พี่ไม่ว่างล่ะ? เตอร์ต้องอยู่คนเดียวนะ?”

 

     เป็นเรื่องจริงที่สุดครับ เพราะหลังจากที่ผมคืนดีกับพ่อเรียบร้อย ก็มีคำขอร้องจากอากงให้ผมไปหาท่านบ่อยๆ มากขึ้น บางครั้งผมก็ต้องไปค้าง บางทีท่านก็เกิดอุตริจะพาผมออกงาน แต่ผมยังปฏิเสธไว้ได้อยู่ครับ รวมทั้งมีบ้างบางครั้งที่พี่สาวคนละแม่ของผมจะขับรถมารับผมไปทานข้าวที่บ้านเธอ ใช่แล้วครับ ทานข้าวกับคุณพ่อและภรรยาของคุณพ่อนั่นแหละครับ!

 

     จริงอยู่ที่มันอึดอัด ไม่สิ แรกๆ ผมอึดอัดมาก มีแต่ความกระอักกระอ่วน แต่คุณป้าเธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้วจึงวางตัวดีครับ เธอไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไรผม แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่ารักหรือเอ็นดูผมเหมือนอากงกับพี่ษา เราก็เลยต่างคนต่างอยู่ต่างทำหน้าที่ของตัวเองครับ เธอเป็นเจ้าบ้านที่ดี ส่วนผมก็เป็นแขกที่ดี

 

     “อยู่ได้ก่าอยู่ได้ พี่ต้นมีคอมพิวเตอร์เลาะ ผมอยู่ได้”

 

     “แน่ะ ไม่ได้นะ คอมพี่ไม่มีเกมอะไรหรอก แล้วก็ห้ามเราเล่นเกมทั้งวันด้วย เราเอาแต่เล่นเกมบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ พี่ได้ยินพี่ศักดิ์บอกนะ”

 

     “ไปเชื่อพ่อยะหยังเปิ้นจุ๊ไปเรื่อยก่า ผมเล่นเกมแต่ก็บ่อได้เสียการเรียนเลาะ นะ นะ ฮื้อผมไปอยู่โตยนะ”

 

     “แล้วเรามาอยู่กับพี่คนเดียวแล้วตอนขากลับจะกลับยังไง?”

 

     “ก็ฮื้อพ่อมารับก่ะ”

 

     “นายไม่สงสารพ่อนายเหรอ ต้องขับรถไปกลับมารับนายเนี่ย? ต้องปิดอู่อีก เสียการเสียงานหมด”

 

     ผมรู้มุขสองพี่น้องนั่นแล้วล่ะ ทั้งคู่อนุญาติเรื่องเที่ยวทะเล ผมว่าญาติพี่น้องพี่ชัชก็คงหาโอกาสตามมาดูชีวิตส่วนตัวพี่ชัชที่นี่นานแล้วแน่ๆ แต่สมัยที่พี่ชัชยังคบกับพี่ฟ่างนั้นคงทำไม่ได้ แต่พี่ศักดิ์ไม่ชอบใจเรื่องที่เตอร์อยากอยู่เที่ยวต่อ ส่วนพี่ชัชรายนี้ผมว่าคงขี้เกียจมีเรื่องยุ่งยากละมั้งครับ เพราะเป็นน้องเล็กเลยมักจะถูกพี่ๆ ดุอยู่เสมอๆ ทุกคนก็เลยส่งไม้อ่อนดื้อๆ อย่างเตอร์มาให้ผมดัดแทน เพราะเตอร์เชื่อฟังผมมาก

 

     “จะอั้นก็ฮื้ออาชัชมาส่ง?”

 

     “บ้าน่าเตอร์ พี่ชัชต้องทำงาน ไม่มีเวลาหรอก”

 

     “พี่ต้นนั่งรถมาส่งผมก่ะ?”

 

     “พี่ก็ไม่ว่าง เห็นมั้ยว่ามันลำบาก นายมาเที่ยวได้ แต่จะอยู่ต่อคนเดียวมันลำบากนะ กลับพร้อมๆ กันนั่นแหละ”

 

     “แต่ผมอยากไปกรุงเทพเลาะ”

 

     “บอกพี่มาตามตรงก่อน ว่านายจะมากรุงเทพฯ ทำไม มีอะไรที่นายอยากทำบ้าง แล้วพี่จะคิดดูอีกที”

 

     เตอร์อึกอักอยู่นิดหน่อย แต่ในที่สุดก็ยอมสารภาพออกมาจนได้ครับว่าอยากไปงานเกม เฮอะ! งานเกมเนี่ยนะ? แล้วก็อยากไปพวกแหล่งขายเกมแถวๆ สะพานเหล็กอะไรนี่อีก แถมยังอยากนัดไปเจอเพื่อนในเกมอีกด้วย เด็กสมัยนี้นี่ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ผมชักเป็นห่วงหลานผมแล้วสิครับ คือ... หลานแฟนก็เหมือนหลานตัวเองนั่นแหละครับ

 

     ผมนั่งฟังอยู่แบบนั้นแล้วก็ยื่นข้อเสนอไป เตอร์สัญญากับผมทุกอย่าง จนผมต้องยอมแพ้

 

     “โอเคๆ ถ้าเตอร์สัญญากับพี่ว่าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซน แล้วก็รับปากที่พี่บอกทั้งหมดระหว่างที่อยู่กับพี่ พี่จะยอมให้อยู่ด้วย แต่ถ้าเตอร์ดื้อละก็ พี่ส่งขึ้นรถทัวร์กลับบ้านเลยจริงๆ นะ”

 

     “ไชโย พี่ต้นอนุญาติแล้ว ผมรักพี่ต้นที่สุดเลยครับ!”

 

     “รักแล้วต้องเชื่อฟังพี่ด้วยล่ะ”

 

     เตอร์ยังยอผมอีกนิดหน่อยก่อนจะตัดสาย พอวางสายได้ผมถอนหายใจทั้งๆ ที่ยิ้ม เด็กหนอเด็ก ตอนผมอายุสิบสี่ผมก็เป็นแบบนี้รึเปล่านะ?

 

     “โห ต้น ใครอ่ะ น้องแกเหรอ?”

 

     “ระงับความสงสัยไว้บ้างก็ได้นะป่าน”

 

     ผมตอบพร้อมกับยิ้มแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ๆ พวกสามสาว ป่านยังคงถามผมต่ออย่างไม่ยอมแพ้ สมกับเป็นคู่หูตัว P จริงๆ ครับ

 

     “น้องเหรอ?”

 

     “เปล่าไม่ใช่หรอก หลานชายของแฟนน่ะ”

 

     “ต้นนี่สนิทกับครอบครัวแฟนด้วยเหรอ?”

 

     เป็นเมย์ที่ถามขึ้น ผมแปลกใจนิดหน่อยนะ คือไม่คิดว่าเมย์จะยอมรับเรื่องที่ผมมีแฟน และก็เรื่องที่แฟนผมเป็นผู้ชายง่ายๆ แบบนี้

 

     “สนิทสิ พี่ชัชพาเรากลับไปเที่ยวที่บ้านเกิดทุกปีแหละ”

 

     “แหม น่าอิจฉาจังว่ะ ว่าแต่ แล้วหลานแฟนมาอ้อนไรแกวะ?”

 

     “จะไปทะเลน่ะ ไม่รู้ๆ ข่าวจากไหนว่าเรามาเที่ยวทะเล เลยร้องอยากไปเที่ยวบ้าง”

 

     “อ้าว เด็กมันอยากไปทะเลแล้วทำไมพ่อแม่มันไม่พาไปเองล่ะ มาอ้อนแกทำไม?”

 

     “ก็... เด็กมันติดเรามั้ง พ่อเขาเลยส่งมาให้เราปรามๆ ไว้บ้าง”

 

     “หา? ทั้งๆ ที่แกโคตรดุเนี่ยนะ ฉันฟังแล้วยังแอบขำเลยอ่ะ ฉันว่าแกดุไอ้ไปป์เยอะละนะ แต่พอเห็นแกดุหลานแกแล้วแบบ... อย่างกับแม่อ่ะ”

 

     “บ้าป่านก็ เราไม่ได้ดุขนาดนั้น ก็แค่... เตือนๆ”

 

     หลังจากนั้นก็เลยโดนซักอะไรอีกนิดหน่อยครับ ผมก็เล่าบ้างไม่เล่าบ้างตามสไตล์ ผมฝังเรื่องยุ่งๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ทั้งหมดไว้ แล้วก็นึกถึงแต่เรื่องดีๆ ที่รอผมอยู่แทน ได้โปรดอย่ามีใครรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกเลย ผมเจ็บ! จนเริ่มหิวพวกเราก็เลยตกลงกันว่าจะออกไปหาอะไรกินกันเพราะขี้เกียจทำและยังไงของสดก็มีไม่พอสำหรับทำมื้อเย็นให้คนเกือบ 20 คน

 

     เรื่องมันก็เป็นแบบนั้นแหละครับ เพราะผมได้คุยกับเตอร์ก็เลยรู้สึกดีขึ้นตอนแรกก็เลยไม่อยากรื้อฟื้นอะไรกับพวกนั้นอีก แต่ตอนที่พัทมาง้อผมแบบนั้นผมก็เหวอไปเหมือนกันนะ ขอโทษได้งี่เง่ามากครับ ผมเกือบหลุดขำเลยแหละ ทั้งขำทั้งยังโกรธอยู่จนไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งตอนที่อัฐพูดขึ้นมาโทสะผมลดฮวบเลยครับ ผมก็รู้นะว่ามิวนิคพยายามง้อผมแล้ว แต่คงเพราะทิฐิในตัวผมมั้งครับ แก้ไม่หายซะที แต่ทุกอย่างก็มาพังตรงโค่น่ะแหละ คนอะไรหื่นได้อีก ผมทั้งโกรธทั้งอายทั้งโมโหทั้งขำ โอ้ย! ไม่รู้จริงๆ ครับว่าควรจะอยู่ในอารมณ์ไหน!

 

     พวกเราขึ้นรถรับจ้างไปยังพลาซ่าที่มีตลาดนัดกันครับ ผมเดินอยู่กับพวกสามสาว ส่วนไปป์กับโอมแน่นอนว่าเดินตามพวกผมมาอยู่แล้ว ที่เหลือก็ตามมาเหมือนกันครับ แต่ตามมาห่างๆ น่ะนะ ผมแอบเห็นหน้าโค่ช้ำพอดู ถือว่าหมัดผมยังแรงใช้ได้

 

     แต่ไม่นานนัก แผงขายของในบาซ่าก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้น ผมเดินดูของอย่างสนุกสนาน ก็แหม ผมไม่ค่อยได้ไปไหนนี่ครับ ไหนๆ มาเที่ยวแล้วทั้งทีก็เลย ไม่อยากมัวแต่โกรธจนลืมเที่ยว

 

     พวกสามสาวลากผมแวะหยุดตามบรรดาแผงขายเครื่องประดับบ่อยๆ โดนเฉพาะยัยเมย์ ชอบหันมาถามผมว่าอันนั้นน่ารักมั้ย อันนี้สวยรึเปล่า ผมก็พยักหน้าไปงั้นๆ แหละครับ เพราะสำหรับผม ผมคิดว่ามันสิ้นเปลืองมากกว่า แล้วผมก็เห็นแวะลองกันแทบทุกร้านแต่ก็ไม่ซื้อ ถ้าไม่คิดจะซื้อแล้วจะลองทำไม ไม่เข้าใจผู้หญิงจริงๆ เลยครับ ดีนะผมมีภูมิต้านทานจากการไปซื้อของกับเมษอยู่บ้าง เลยพอทนไหว

 

     “โอ้ย หิวแล้ว ไปหาไรกินกันเถอะ เลือกนานเกินไปละ”

 

     นั่นไง ไปป์โวยวายจนได้ แล้วพวกเราก็เลยไปหาอะไรกินกันครับ เลือกร้านแบบโอเพ่นแอร์แถวๆ นั้นนั่นแหละ แชร์โต๊ะกันจากร้านอาหารหลายๆ เจ้าแถวนั้น แน่นอนว่าพวกเราหกคนนั่งเบียดๆ กันก็พอดีกับจำนวนที่ เพราะงั้นผมก็เลยไม่ต้องร่วมโต๊ะกับคนที่ผมยังเหม็นหน้าอยู่ แต่พวกนั้นก็เนียนมานั่งใกล้ๆ กันนั่นแหละครับ แถมมิวนิคยังทุ่มทุนซื้อไข่นกกระทาทอดมาเสริฟผมอีก ทุ่มทุนตั้ง 20 บาท! ค่าตัวผมมันมีค่าแค่นี้เองรึไง? ทั้งโกรธทั้งขำนะครับ

 

     “อ่ะ กูป้อน หายงอนพวกกูได้ละ”

 

     “คุณไม่อายแต่ผมอายครับ ผู้ชายบ้าไรมานั่งป้อนกันแบบนี้ แล้วถ้าซื้อมาให้ผมก็อย่าเนียนตักเข้าปากตัวเองสิครับ!”

 

     “ก็กูนึกว่ามึงไม่กิน กลัวเสียของดิ”

 

     สรุปว่าก็คงต้องหายโกรธใช่มั้ยครับ? ผมหันไปมองไปป์ แต่ดูเหมือนกุนซือประจำรุ่นจะร้อนตัว

 

     “เอ้ยๆ เราเปล่านะ เราไม่ได้ให้พวกมันใช้แผนนี้”

 

     “แล้วบอกให้ใช้แผนไหนไปล่ะ?”

 

     ผมยิ้มพร้อมกับถามเสียงเย็นๆ ไปป์เหงื่อแตกเล็กน้อย ไม่รู้เพราะอากาศมันร้อน เพราะกินก๋วยเตี๋ยวน้ำ หรือเพราะร้อนตัว

 

     “ก็... ก็แค่... เราบอกพวกมันไปว่านายใจอ่อนกับลูกอ้อนแต่ไม่ชอบมุขขี้หลี”

 

     “รู้เยอะเกินไปแล้วนะไปป์ แต่เรื่องบางเรื่องรู้แล้วไม่ต้องพูดออกมาก็ได้”

 

     เสร็จจากมื้ออาหารพวกเราก็ไปเดินเล่นกันต่อ พวกนั้นยกขโยงเดินตามผมทั้งฝูงนั่นแหละครับ แต่พอจังหวะที่ผมกับสามสาวเดินผ่านร้านเหล้ายาดองก็มีผู้ชายเมาๆ คนนึงตะโกนแซวเมย์

 

     “น้องสาว! นมนั่นของจริงหรือของปลอมจ้ะ ขอพี่จับพิสูจน์หน่อยได้มั้ย”

 

     คือ... เขาตะโกนเสียงดังมากๆ เลยครับ คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ยินกันหมด และผมคิดว่านั่นเป็นการกระทำที่ต่ำมากๆ ด้วย เมย์หน้าเสียทันที ป่านกับแก้วนี่หน้าถอดสีไปแล้วแหละครับ โอมก็ดึงไปป์ไว้อยู่ ส่วนผมก็ยืนจับมือเมย์ไว้ครับ ยังไงซะเพื่อนผมคนนี้ก็ขาวีนพอกัน

 

     “ไปเหอะเมย์”

 

     ผมพยายามดันเมย์ให้เดินต่อไม่ต้องไปสนใจพวกมัน แต่ในจังหวะที่เมย์เสียเวลาไปแข่งจ้องตาแบบกินเลือดกินเนื้อกับคนพวกนั้นมันก็พลาดซะแล้ว มันพลาดที่ทำให้ไอ้พวกนั้นหันมาสนใจเมย์กับพวกเราที่มีสาวๆ อยู่ในกลุ่มถึงสามคน แล้วก็มีผมแค่คนเดียวที่อยู่ใกล้ เพราะโอมกับไปป์ยืนอยู่แผงข้างหลังถัดไปอีกสองแผงเดินอยู่กับกลุ่มพวกมิวนิค

 

     “โอ้ย แฟนหึงซะด้วย”

 

     มันพูดพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วยืนล้อมเราสองคนไว้ พวกมันมีกันสองคนครับ กลิ่นเหล้ายาดองหึ่งออกมาทำให้ผมคิดว่าไม่ควรไปยุ่งกับมัน แก้วกับป่านจะเดินเข้ามารวมกลุ่มแต่ผมหันไปส่งสายตาให้ว่าอย่าเข้ามา จะให้เพื่อนผู้หญิงเข้ามาเสี่ยงอีกเหรอครับ? แค่เมย์คนเดียวผมก็เต็มกลืนแล้ว

 

     “ช่วยหลีกทางให้ผมกับเพื่อนด้วยครับ”

 

     ผมตั้งใจขอร้องมันดีๆ พูดอย่างสุภาพด้วย

 

     “โอะ ไม่ใช่แฟนงี้พี่ก็มีสิทธิ์สิจ้ะ มานั่งกับพี่มั้ยน้อง”

 

     ไวเท่ากับที่มันพูด มือของมันก็เอื้อมมาจะจับตัวเมย์ครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าตำแหน่งนั้นมันจะเป็นหน้า เป็นคาง หรือหน้าอก เพราะขาผมไวกว่า ผมยกขาขึ้นถีบมันลงไปกองกับพื้นทันทีพร้อมๆ กับทีใช้มือดันไหล่เมย์ไปทางพวกแก้ว คนที่ยืนอยู่ข้างหลังดูงงๆ กว่าที่มันจะเงื้อหมัดมาต่อย ผมก็วิ่งหลบออกไปยืนอีกฝั่งแล้ว

 

     “สัด มึงถีบกู”

 

     “เออ ผมถีบ ก็คุณมาจับหน้าอกเพื่อนผมอ่ะ”

 

     โอมกับไปป์วิ่งมาถึงพวกเราแล้วครับ และเสียงตะโกนของผมก็ดังพอสมควรด้วย หวังว่าไอ้พวกนั้นมันจะได้ยินนะครับ มิวนิคจะได้ใช้กล้ามเนื้อที่เขาภูมิใจซะที

 

     “ช่วยด้วยครับ ไอ้บ้านี่มันเมาแล้วลวนลามเพื่อนผม ทุกคนก็ได้ยินใช่มั้ยครับมันพูดจาต่ำๆ กับเพื่อนผมก่อน แถมมันยังจะทำร้ายผมด้วย ผู้ชายที่ร้ายขายเหล้านี่จะทำร้ายผมกับเพื่อนครับ ช่วยเรียกตำรวจให้พวกผมที!”

 

     เสียงของผมดังไม่แพ้ใครครับ พวกมันเองก็ดูอึดอัดเกรงใจสายตาชาวบ้าน และไม่นานนักไม่ถึงนาที กำลังเสริมพวกผมก็มาถึง นำโดยมิวนิค

 

     “เฮ้ย ไหนๆ มีอะไร เกิดไรขึ้นวะต้น”

 

     เป็นคุณ คุณจะยังกล้าเอาเรื่องกับกลุ่มที่ดูจำนวนแล้วมีผู้ชายมากกว่าสิบคนแน่ๆ มั้ยครับ?

 

     “มิวนิค นายช่วยเรียกตำรวจที เรากับเมย์จะโดนทำร้าย”

 

     “เฮ้ยไอ้น้อง พี่ว่าเรื่องแค่นี้ไม่ต้องถึงขั้นเรียกตำรวจหรอกมั้ง”

 

     เจ้าของร้านยาดองรีบออกมาขวางทันทีครับ ทีเมื่อกี้ตอนที่เพื่อนร่วมโต๊ะคุณเมาทำหยาบคายกับเพื่อนผมคุณยังนั่งเฉยๆ อยู่ที่โต๊ะเลยนะ

 

     “ไม่ได้หรอกครับ เกิดผู้ชายสองคนนี้แค้นผมแล้วตามไปเอาเรื่องพวกผมล่ะ ยิ่งผมไม่ใช่คนในพื้นที่ เกิดอะไรขึ้นก็ตรวจสอบหลักฐานลำบาก ยังไงก็ต้องแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้ครับ”

 

     “พอเหอะน้อง เอาเป็นว่าพี่ขอโทษแทนแล้วกันนะ แล้วๆ กันไปอย่ามีเรื่องกันเลย พี่ขอ”

 

     “แล้วผู้ชายคนนั้นเขาจะไม่ตามมาทำร้ายผมจริงๆ เหรอครับ?”

 

     “เออๆ มันเมา เดี๋ยวพรุ่งนี้มันตื่นมันก็จำอะไรไม่ได้แล้ว”

 

     “ถ้างั้นขอบัตรประชาชนด้วยครับ?”

 

     เจ้าของร้านเหล้าทำหน้าแปลกใจ ผมก็เลยพูดต่อ

 

     “ผมจะถ่ายรูปบัตรประชาชนพวกคุณไว้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผม ตำรวจจะได้ตามตัวได้ไม่ยาก”

 

     “เฮ้ย พี่ว่ามันมากไปมั้งไอ้น้อง”

 

     “มิวนิค โทรเรียกตำรวจเลย”

 

     “เอาล่ะๆ น้องจะเอายังไงว่ามา แต่พี่ให้ดูบัตรพี่ไม่ได้หรอก เกิดน้องเอาไปทำไรไม่ดีล่ะ”

 

     “งั้นแบบนี้มั้ยล่ะครับ”

 

     ผมพูดพร้อมกับมองไปยังไอ้ขี้เหล้าคนนั้นที่ยังนั่งจุกอยู่บนพื้น

 

     “ไปป์ ถ่ายคลิปไว้ที ส่วนพวกพี่พูดตามผมนะครับ อันดับแรกบอกชื่อพวกพี่ แล้วก็พูดต่อว่า ขอโทษและสำนึกผิดที่ได้ล่วงเกินนายเมธัส สวัสดิ์ไพโรจกับเพื่อน และขอสัญญาว่าจะไม่ติดใจแค้นเคืองใดใด ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นนายเมธัสสามารถนำหลักฐานนี้ไปแจ้งความจับข้าพเจ้าได้ เอาแบบนี้ดีมั้ยครับ”

 

     “โห น้อง เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ”

 

     “ผมก็แค่ป้องกันตัว ถ้าเกิดพวกคุณแค้นตามไปเอาเรื่องผมล่ะ?”

 

     ผมยื้อไว้เต็มที่ครับ ใครจะรับประกับความปลอดภัยให้ผมละ โชคดีที่สายตรวจมาเร็ว ผมหันไปยิ้มให้กับโอม โอมโทรหาตำรวจตั้งแต่แรกแล้วครับ โชคดีที่ผมกับโอมคิดคล้ายๆ กัน

 

     แล้วตำรวจก็เข้ามาเคลียร์ให้ แต่ก็อย่างว่าครับ เข้าข้างเจ้าถิ่นอยู่วันยังค่ำ รับปากจะเคลียร์เรื่องให้ไปส่งๆ แต่ผมก็ยังมีไม้ตายอยู่ครับ ก็ชื่อเมธัส สวัสดิ์ไพโรจยังไงละครับ นามสกุลของแม็กซ์เป็นเกราะคุ้มกันผมอย่างดี และผมเชื่อว่าต่อให้ผมผลักภาระแจ้งความเท็จไปให้แม็กซ์ แม็กซ์ก็ไม่เดือดร้อนอยู่ดี

 

     เรื่องจบลงง่ายๆ ครับ แต่ก็ตรงใจผม พวกเรารอดปลอดภัย และอีกฝ่ายได้รับการเตือนว่าอย่ามายุ่งกับพวกผมอีก พวกเราเดินกลับกันอย่างสบายใจครับ ไม่มีใครมีอารมณ์เดินเที่ยวต่อแล้ว

 

     “ต้น เมื่อกี้นายพูดชื่อใครอ่ะ?”

 

     “ไม่สงสัยซักเรื่องได้มั้ยไปป์”

 

     “ก็อยากรู้นี่ นามสกุลมันคุ้นๆ หูยังไงก็ไม่รู้”

 

     “ก็ต้องคุ้นมั่งแหละ นักธุรกิจระดับนั้น”

 

     “ว่าแต่นามสกุลใครอ่ะ?”

 

     “แม็กซ์ไง แม็กซ์ชื่อจริงว่าเมธัส สวัสดิ์ไพโรจ”

 

     “โห! งี้เพื่อนนายก็เป็นไฮโซดิ?”

 

     “อื้อ”

 

     “แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยอ่ะ”

 

     “เผื่อพวกนั้นมันคุ้นหูแล้วจะได้เลิกยุ่งกับพวกเราไง นามสกุลออกข่าวบ่อยๆ คงพอขู่คนอื่นได้บ้าง ไม่งั้นเกิดพวกมันติดใจตามไปแก้แค้นพวกเราละจะทำไง”

 

     “นั่นดิ ก็นายดันไปถีบพวกมันนี่เนาะ”

 

     “แล้วถ้าไม่ถีบยัยเมย์จะโดนพวกมันทำไรบ้างก็ไม่รู้ เราถีบไว้ก่อนแหละ”

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

 

 

  • Facebook Classic

FOLLOW ME

bottom of page