top of page

The story after that. - ต้นน้ำ

     ไปป์อาบน้ำแปรงฟันเร็วมาก ผมยังถูหน้าบ้านไม่เสร็จเลย แต่ไปป์ลงมาซะแล้ว กลิ่นโลชั่นที่คุ้นจมูกผมบ่งบอกว่าไปป์ไร้ความเกรงใจแค่ไหน แต่เอาเถอะ เมื่อวานผมเป็นคนออกปากอนุญาติไปเองนี่นา

 

     ผมจัดการเอาของเหลือที่พอหาได้มาทำข้าวผัดให้ไปป์ครับ เราอยู่กันในครัวโดยมีไปป์คอยช่วยหยิบโน่นหยิบนี่จนผมวุ่นมากกว่าเดิม เพราะเดี๋ยวก็มีคำถามจำพวก “เอาอันไหนต่อ” “ใส่นี่ด้วยดิ” มาให้ผมรำคาญเป็นระยะๆ

 

     แต่มือชั้นนี้แล้ว ไม่มีทางเสียเรื่องหรอกครับ ผมน่ะใช้มุขผัดข้าวผัดด้วยของเหลือๆ ในตู้เย็นให้พี่ชัชบ่อยนะครับ อะไรใส่ด้วยกันแล้วกินได้ไม่ได้ผมรู้ดี ยิ่งถ้าคนเราหิวๆ แล้วละก็ ยังไงก็อร่อยครับ โปะไข่ดาวลงไปซักใบ แค่นี้ก็อร่อยแบบเนียนๆ แล้ว

 

     โชคดีที่ผมซื้อพวกซอสขวดเล็กๆ ติดมาด้วย อย่างน้อยๆ ก็เหยาะใส่ข้าวผัดปรุงรสไม่ให้ชืดจนเกินไปได้ แถมยังเหยาะใส่ไข่ดาวได้อีกด้วยนะครับ นอกนั้นพวกเครื่องปรุงรสซองเล็กๆ กับเครื่องปรุงนิดๆ หน่อยๆ ผมก็ซื้อติดมาแล้วกับไข่แพ็คนึง แล้วก็น้ำมัน กะแล้วละครับว่าต้องได้ใช้แน่ๆ แล้วก็คิดไม่ผิดจริงๆ

 

     กลิ่นหอมๆ ของข้าวผัดชวนให้ไปป์น้ำลายสอใหญ่เลยครับ สะกิดถามผมยิกๆ ว่าเสร็จแล้วรึยังอยู่นั่นแหละ

 

     “ต้นเก่งจังว่ะ ทำอาหารบ่อยเหรอ ในรูปก็เห็นใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่หน้าเตา”

 

     จะพูดขึ้นมาทำไมนะไปป์ ผมอุตส่าลืมๆ เรื่องนี้ไปแล้วเชียว ไอร้อนตรงหน้าผมที่แผ่ซ่านอยู่นี้ไม่ได้มาจากความร้อนของเตาแน่ๆ ครับ ผมหวังว่าผมคงจะไม่หน้าแดงมากไปนะ โชคดีที่ผมยืนหันหลังให้ไปป์

 

     “อืม”

 

     “แฟนต้นนี่โชคดีเนาะ”

 

     “เหรอ”

 

     คงเพราะผมไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไงดีมั้งครับ เลยได้แต่เออออไปตามเรื่อง

 

     “ต้นจะไม่ถามเราหน่อยเหรอ ว่าเราคิดยังไงกับเรื่องนั้น”

 

     “แล้วเราควรจะถามอะไรล่ะ”

 

     ผมหันมามองหน้าไปป์อยู่พักหนึ่งครับ ใช่ว่าผมไม่อาย ผมอาย แต่เพราะ “เพื่อน” ยังทำตัวเหมือนเดิมกับผม ผมก็เลยไม่อยากคิดอะไรมาก ไม่อยากรื้อฟื้นอะไร ไม่ว่าจะเรื่องความจริงที่ผมชอบผู้ชาย หรือเรื่องคลิปหลุดนั้นด้วย ผมแค่อยากจะลืมๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เท่านั้น เลยเลือกที่จะเงียบไว้ครับ

 

     “ก็ถามว่าเราคิดยังไงที่นายเป็นเกย์อะไรทำนองนี้ไง”

 

     “ก็นายก็ทำตัวเหมือนเดิมนี่ ถ้ารังเกียจเราคงไม่มาอ้อนเราแบบนี้หรอกมั้ง”

 

     ผมพูดพร้อมกับยกตะหลิวกับกระทะในมือให้ไปป์ดู ไปป์หัวเราะครับ ไปป์หัวเราะร่าเริงมากๆ แล้วก็ยิ้มออกมา

 

     “อื้อ เราเดาได้อยู่แล้วว่านายน่าจะเป็น”

 

     “ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

     ผมถามพลางตักข้าวผัดที่เสร็จแล้วใส่จานไว้ มีเยอะเหมือนกันครับ ตักได้พูนจานเลยแถมยังมีเหลือในกระทะอีก สงสัยเมื่อคืนพวกนั้นไม่ได้กินข้าวกันเยอะ หรือไม่ก็สั่งมาเยอะเกินจนเหลือ เปลืองของจริงๆ เลย

 

     “ก็ตั้งแต่แรก สัดส่วนคนมาจีบนายส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิง แต่เห็นนายนิ่งๆ เงียบๆ เลยยังไม่แน่ใจ มาแน่ใจเอาก็ตอนที่เพื่อนนายมาหาบ่อยๆ อ่ะ คิดว่าคนๆ นั้นคงเป็นแฟนนายด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ ใช่มั้ยล่ะ?”

 

     “ฉลาดนะไปป์”

 

     “แน่นอน!”

 

     “แต่เรากับคนนั้นก็เพื่อนกันธรรมดาๆ ทำไมนายถึงได้แน่ใจว่าเราเป็นเกย์ล่ะ ต่อให้มีผู้ชายมาจีบเรา แต่ก็ใช่ว่าเราต้องเป็นเกย์นี่”

 

     “เพราะผู้ชายคนนั้นแสดงออกว่ารักต้นชัดเจนมากอ่ะสิ ส่วนต้นเองก็ทำท่าเหมือนรู้อยู่แล้วว่าคนอื่นคิดอะไรกับตัวเอง คนไหนที่ไม่ทำให้นายลำบาก นายก็จะไม่ปฏิเสธ ไม่เหมือนเมย์กับโอม แต่กับคนๆ นั้น นอกจากต้นจะไม่ปฏิเสธแล้วยังพิเศษด้วยอ่ะ”

 

     “ยังไง?”

 

     ผมถามต่อทันทีครับ ผมอยากรู้ว่าระหว่างผมกับแม็กซ์มีอะไรที่มันชัดเจนมากขนาดนั้น คราวหน้าผมจะได้ระวังตัว ไม่เผลอทำอะไรหลุดๆ แบบนั้นต่อหน้าใครอีก โดยเฉพาะต่อหน้าพี่ชัช!

 

     “ต้นอ้อน เหมือนที่อาร์มบอกเลย เรานึกว่าอาจจะเพราะคนๆ นั้นเป็นแฟนเก่าหรืออะไรทำนองนั้นอ่ะ”

 

     ผมหันไปมองไปป์พลางล้างกระทะ เพราะผมยังต้องใช้มันทอดไข่ต่ออีก

 

     “แก้ข่าวนิดนึงนะ เรากับแม็กซ์ไม่เคยคบกัน”

 

     “แต่คนๆ นั้นก็เคยจีบต้นใช่ป่ะ แล้วต้นก็ไม่ทำท่ารังเกียจด้วย ต้นจะยอมให้คนอื่นอ้อนไม่ก็เป็นฝ่ายอ้อนเองกับคนที่ต้นสนิทใจด้วยใช่มั้ยอ่ะ”

 

     “ก็ทำนองนั้น เรื่องสมัยก่อนน่ะ ยังไงแม็กซ์ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่เรารักมากคนนึง ก็เลยสนิทกันละมั้ง”

 

     ผมไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี ผมคิดไม่ออกจริงๆ นั่นแหละครับ ว่าผมทำอะไรพลาดไปตรงไหน ผมเวลาที่อยู่กับแม็กซ์ไม่เหมือนเวลาที่ผมอยู่กับอาร์มรึไง ไปป์ถึงได้สังเกตได้ถึงขนาดนี้

 

     “แล้วนี่เราสนิทกันยังอ่ะ? เราสู้เพื่อนเก่านายได้ป่ะ?”

 

     ผมตวัดหางตาไปมองอย่างเหยียดๆ ถามมาได้ ถ้าไม่สนิทผมจะยอมเล่าอะไรแบบนี้ให้ฟังเหรอครับ

 

     “โห ถามแค่นี้ไม่เห็นต้องค้อนเลยอ่ะต้น ก็แค่อยากได้ยินจากปากต้นเท่านั้นเอง เราสนิทกันยัง?”

 

     ให้ตายเถอะครับ ไปป์เป็นเด็กหกขวบรึยังไง!

 

     “อื้อ!”

 

     “งั้น ถ้าเราสนิทกันแล้วเล่าเรื่องต้นให้ฟังหน่อยดิ เราอยากรู้เรื่องของต้นมากกว่านี้อ่ะ?”

 

     “จะให้เราเล่าอะไรล่ะ? นายอยากรู้อะไรก็ถามมาเถอะ เผลอๆ นายอาจจะรู้หมดแล้วก็ได้”

 

     “นายอยู่กับแฟนนายเหรอ?”

 

     ผมแปลกใจนะ คำถามแรกที่ไปป์ถามเป็นเรื่องนี้หรอกเหรอครับ? แต่อย่างว่าแหละ นี่คือไปป์ ผมเดาใจอะไรไปป์ไม่ถูกหรอก

 

     “ใช่ เราอยู่กับแฟน”

 

     “แฟนนายทำงานแล้วด้วยใช่ป่ะ แม่นายไม่ว่าไรเหรอ เห็นนายบอกว่าแม่นายแต่งงานใหม่ไปเมืองนอก แต่นายกลับไม่ไปแล้วก็เรียนที่นี่แถมยังอยู่กับแฟนอีก”

 

     “แม่รู้เรื่องเรากับพี่ชัชมาตั้งนานแล้ว แม่ไม่ว่าอะไรหรอก ยังบอกเลยว่าดีซะอีก จะได้มีคนคอยดูแลเราตอนที่เขาไม่อยู่”

 

     “เพราะเรื่องพ่อนายใช่ป่ะ อาจารย์ต้นเป็นพ่อนายใช่ป่ะ นายจงใจเข้าที่นี่เพราะพ่อนายใช่ป่ะต้น”

 

     ผมชะงักมือที่กำลังจะตักไข่ดาวใส่จานให้ไปป์ทันที ไปป์นี่ฉลาดมากไปแล้ว แค่เรื่องนิดๆ หน่อยๆ ก็สามารถปะติดปะต่อออกมาได้ถูกหมด นายเป็นโคนันรึยังไงไปป์!

 

     “นายรู้ได้ยังไง อาจจะเป็นแค่ญาติกันก็ได้นะ”

 

     “ก็อาจารย์เขาวุ่นวายกับนายมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้ว ตอนแรกเรานึกว่าอาจารย์แกจะเลี้ยงต้อยนายซะอีก แต่พอดูไปดูมาแล้วนายกับอาจารย์หน้าคล้ายๆ กันอยู่นะ แถมนายยังไม่เคยพูดถึงเรื่องพ่ออีก ไม่ยอมให้ใครแตะหัวข้อนี้เลย นายไม่เคยพูดว่าหย่าหรือตายไปแล้วอะไรทำนองนั้นแค่บอกปัดๆ ไปว่าไม่มีพ่อ แล้วก็ยิ่งตอนที่นายเกิดเรื่องอ่ะ อาจารย์ดูห่วงนายมากแต่นายกลับต่อต้านอาจารย์ ทั้งๆ ที่นายไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร แสดงว่านายต้องเกลียดอาจารย์มากแน่ๆ เราเลยเดาเอา ยิ่งมาแน่ใจตอนที่นายกับเพื่อนไปหาอาจารย์รอบหลังสุดนี่แหละ แถมนายยังเป็นเด็กทุน แม่ไม่ได้อยู่ด้วย ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยนายก็อยู่เมืองไทยคนเดียวไม่รอดหรอก ถึงจะขอทุน แต่นายกลับดูใช้ชีวิตสบายๆ ไม่เหมือนคนไม่มีตังค์ แปลว่านายต้องมีคนเลี้ยงดูอยู่ แต่คนอย่างนายไม่ใช่พวกเด็กเสี่ยแน่ๆ เพราะนายไม่ใช่พวกมักง่าย แถมบางทีนายก็โคตรงกเลย เราเลยเดาเอาว่านายน่าจะอยู่กับแฟนที่ทำงานแล้วแล้วก็ส่งเสียนายอยู่ด้วย ถูกป่ะ”

 

     “วันนั้นนายแอบฟังจริงๆ ด้วยสินะ เอาเถอะ นายเดาถูกทั้งหมดนั่นแหละไปป์”

 

     จะให้ผมปฏิเสธอะไรอีกละครับ หลักฐานมันแน่นหนาขนาดนี้ แล้วผมก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้แล้วด้วย เล่นเดามาซะขนาดนั้น ไม่เหลืออะไรให้ผมต้องตอบแล้วมั้งครับ ผมว่าไปป์เลิกเรียนฟิสิกส์ไปเปิดสำนักงานนักสืบดีกว่า น่าจะรุ่ง!

 

     “ต้นรักแฟนมากเลยดิ มีคนมาจีบนายตั้งเยอะนายก็ไม่หวั่นไหว”

 

     “อื้อ รักสิ ไม่รักจะคบเหรอ”

 

     “เล่าให้ฟังหน่อยดิ เรื่องนายกับแฟน”

 

     “นายก็รู้หมดแล้วนี่ ยังจะถามไรอีก”

 

     ผมดันจานข้าวผัดที่โป๊ะไข่ดาวแล้วไปให้ไปป์

 

     “ไม่เอา อยากรู้ คบกันได้ไงไรทำนองนี้อ่ะ เล่าหน่อยๆ”

 

     “ไม่มีไรน่าสนใจหรอก ออกไปกินข้าวเหอะ หิวไม่ใช่รึไง”

 

     “โห ไหนต้นสัญญาแล้วไง”

 

     เอาละ เริ่มงอแงเป็นเด็กๆ แล้วไปป์น้อย ผมคว้าฝรั่งที่ซื้อมาเมื่อเช้ากับมีดติดมือเดินนำออกไปนั่งที่หน้าบ้านโดยไม่รอ ไปป์ไม่มีทางเลือกเลยเดินถือจานข้าวติดออกมานั่งฝั่งตรงข้ามผมแล้วก้มหน้ากินด้วยอาการหงอยๆ เหมือนเด็กไม่ได้ของเล่น

 

     “เรากับพี่ชัชรู้จักกับได้ราวๆ สองปีแล้ว”

 

     ไปป์เงยหน้าจากจานข้าวผัดขึ้นมามองผม เหมือนแปลกใจที่ผมเริ่มเปิดปากเล่าซะอย่างนั้น

 

     “จริงดิ ละรู้จักกันได้ไงอ่ะ”

 

     “ก็อยู่คอนโดห้องข้างๆ กัน พอดีเราช่วยเขาเอาไว้ พี่เขาเมา เราเลยช่วยดูแลเขา”

 

     “โห ละเขาก็ปิ๊งต้นเลยงั้นเหรอ เหมือนในมังงะเลย”

 

     “เปล่า”

 

     “อ้าว?”

 

     “ความจริงเราปิ๊งพี่เขามาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แล้วเราก็รู้จักแฟนเก่าพี่เขาด้วย พอพี่ชัชอกหักเลิกกับแฟนก็ทำตัวห่วยแตก เราเลยทนไม่ไหวอ่ะ”

 

     “ยังไงอ่ะ?”

 

     “พาผู้หญิงมาค้างไม่เลือกหน้า”

 

     พูดแล้วยังแอบเคืองอยู่หน่อยๆ นะครับ นึกถึงพี่ชัชตอนนั้นแล้วมันหงุดหงิดจริงๆ เลย

 

     “อ้าว แฟนต้นไม่ใช่เกย์หรอกเหรอ”

 

     ผมส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ

 

     “แฟนเก่าพี่ชัชก็เป็นผู้หญิง พี่ฟ่างเขาดีกับเรามากๆ เพราะแม่เราเป็นแอร์ไง เราเลยต้องอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว พี่ฟ่างเขาสงสารเราเวลามีขนมหรืออะไรก็เอามาแบ่งให้เราบ่อยๆ แล้วบางทีพอได้นั่งคุยกันพี่เขาก็หลุดปากเรื่องแฟนบ้าง เราก็เลยรู้จักวีรกรรมพี่ชัชเยอะ พอไปๆ มาๆ พี่เขาเลิกกัน มันก็... ไม่รู้สิ อารมณ์แบบทนไม่ได้ละมั้งที่เห็นผู้ชายที่เป็นไอดอลของตัวเองกลายเป็นไอ้ขี้เมาทำตัวห่วยแตกไปวันๆ”

 

     “ต้นชอบผู้ชายแก่กว่าเพราะปมเรื่องพ่อเหรอ?”

 

     โอ้ย! ไปป์ นายไม่ต้องถามตรงๆ ขนาดนี้ก็ได้นะ ผมจุกนะครับ เกือบทำมีดบาดนิ้วแน่ะ

 

     “นายนี่ฉลาดเกินไปแล้วนะ”

 

     “อื้อ เห็นมั้ยอ่ะข้อดีของการอ่านการ์ตูนเยอะๆ”

 

     ไปป์ทำหน้าแป้นแล้นยิ้มใส่ผมซะน่าหมั่นไส้ ใช่สิไอ้พวกบ้าที่อ่านแต่การ์ตูนจนถึงวันสอบ แต่กลับไม่เคยตกมีนเอ้ย!

 

     “เล่าต่อดิ ต่อๆ กำลังฟังเพลินๆ เลย”

 

     “เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเพราะปมเรื่องพ่อรึเปล่า แต่รู้สึกว่าพี่เขาอบอุ่นดี พี่เขาดีกับเรามากเลยล่ะ เราก็เลยปลื้มพี่เขาละมั้ง”

 

     “ละเป็นแฟนกันได้ไงอ่ะ แฟนต้นไม่ใช่เกย์แล้วมาชอบต้นได้ยังไง”

 

     “ไม่รู้สิ พอเราช่วยพี่เขาแล้วก็เลยเริ่มสนิทกันมั้ง เราเลยชอบพี่เขาขึ้นมาจริงๆ พี่เขาเองก็ไม่มีใคร เขาคงเหงามั้ง แล้วพอพี่เขาขอเราเป็นแฟน ก็เลยเป็นแฟนกัน แม่เรากับพี่เขาก็รู้จักกันอยู่แล้วเลยปิดเรื่องนี้ไม่ได้ แต่แม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไร พอแม่เราไปอยู่เมืองนอกเราก็เลยย้ายไปอยู่ห้องแฟนก็แค่นั้น จบ”

 

     “ละพ่อนายไม่ว่าเอาเหรอ”

 

     “เขาไม่มีสิทธิ์หรอกไปป์ เขาจะว่าอะไรได้ ถึงเราจะรู้ตัวว่าเราไม่มีพ่อเพราะเป็นเด็กที่เขาไม่ต้องการมาตั้งแต่เกิดก็เถอะ แต่เราก็พึ่งรู้ว่าพ่อเราเป็นใครเมื่อสี่ปีก่อนนี้เอง แม่เราไม่เคยบอกเราหรอกว่าพ่อเราเป็นใคร บอกแค่ว่าเราเกิดมาได้ยังไง แล้วบังเอิญเรากับแม่ไปเจอเขาในงานวันเกิดเพื่อนเราตอน ม.5 นั่นแหละ เราถึงได้รู้ว่าพ่อเราเป็นใคร”

 

     “อ้าว งี้นายก็ลำบากแย่เลยดิ อยู่กับแม่สองคน แถมแม่เป็นแอร์อีก ละพออาจารย์เขารู้เขาไม่ช่วยไรนายเลยเหรอ”

 

     “ก็เขาก็พยายามนะ แต่ไงดีล่ะ ชีวิตคนเรามันไม่ได้สวยงามเหมือนนิยายนะ เขาเองก็มีหน้ามีตาในสังคม จะยอมรับเราอย่างเปิดเผยได้ไง มันก็เลย... ก็อย่างที่นายเห็นนั่นแหละ”

 

     “มิน่า นายถึงได้คอยหาเรื่องอาจารย์เขาตลอด”

 

     “บ้า พูดดีๆ นะ ไปป์ เราหาเรื่องอาจารย์เขาที่ไหน”

 

     “ก็เห็นคอยท้าทายอยู่ตลอดนี่ ว่าแต่ หลังๆ นี่ดีกันแล้วดิ นายไม่ค่อยวีนใส่อาจารย์แล้วนี่นา”

 

     พอถูกพูดแบบนี้ผมก็เขินขึ้นมานิดๆ แฮะ ไม่คิดว่าไปป์จะสังเกตเห็น

 

     “สังเกตด้วยเหรอ”

 

     “อื้อ เพราะงี้ใช่ป่ะ พอแม่นายไม่อยู่นายถึงเลือกที่จะอยู่กับแฟน แล้วก็ขอทุน ไม่ยอมรับความช่วยเหลืออะไรจากอาจารย์”

 

     “อื้ม ก็ทำนองนั้นแหละ”

 

     “แล้วแฟนนายอ่ะ เขาว่าไงบ้าง”

 

     “พี่ชัชเขาไม่ว่าอะไรหรอก เราเป็นแฟนเขา เขาก็ต้องซัพพอร์ทเราอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เรายังเรียนอยู่ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็เลยต้องประหยัดๆ ไงล่ะ ไม่ใช่ว่าเราอยากจะงกซักหน่อย”

 

     “ฮ่าๆ นายนี่ตลกชะมัดเลยอ่ะ”

 

     ไปป์หัวเราะอยู่ครู่นึงแล้วก็มองหน้าผม จ้องซะผมตัวแทบทะลุ

 

     “ถามเรื่องนั้นด้วยได้ป่าวอ่ะ?”

 

     “เรื่องไหน?”

 

     ผมงงๆ ก็เลยถามออกไป

 

     “เรื่องเซ็กส์ นายกับแฟน”

 

     “บ้า มาถามไรตอนกินข้าว”

 

     “ไม่เป็นไรเราไม่ถือ”

 

     ไปป์ไม่ถือแต่ผมถือ ผมอายนะครับ ให้มาคุยอะไรแบบนี้!

 

     “แฟนนายชอบผู้หญิงแล้วไม่มีปัญหาเหรอ?”

 

     “แล้วนายคิดว่ามีปัญหามั้ยล่ะ”

 

     ผมตอบปัดๆ ไป ไปป์ไม่น่าถามอะไรแบบนี้เลย ก็ได้ยินเต็มสองหูแล้วแท้ๆ ผมเขินนะครับ

 

     “งั้นก็แปลว่า นายยอมตลอดดิ ไม่เคยเป็นฝ่ายทำบ้างเลยเหรอ? ไม่รู้สึกว่าโดนแฟนเอาเปรียบบ้างเหรอ ผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ”

 

     “ไม่รู้สิ มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่ ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ซักหน่อย ชินแล้วมั้ง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรก เราก็เลย.. เฉยๆ มั้ง”

 

     “งี้ก็แปลว่านายไม่เคยเลยอ่ะดิ”

 

     ผมรู้สึกได้ว่าหน้าของผมต้องกำลังแดงอยู่มากๆ แน่เลยครับ

 

     “อืม ก็ตั้งแต่ครั้งแรกก็เป็นแบบนี้มาตลอดอ่ะ”

 

     “โห ต้นทนได้ไงวะ สุดยอดอ่ะ”

 

     “บ้า มันไม่ได้แย่อะไรขนาดต้องอดทนนี่ เราก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุขซักหน่อย เรารักพี่เขาอะไรที่ยอมได้เราก็เต็มใจแหละ เราพอใจกับความสุขแบบนี้แล้ว”

 

     ไปป์มองผมอย่างทึ่งๆ ก่อนจะตักข้าวทานต่ออีกสองสามคำแล้วก็เริ่มซักผมต่อ

 

     “แฟนนายเคยเอากับผู้ชายคนอื่นมาก่อนป่ะ”

 

     ผมชะงักมือไปทันที

 

     “ไม่หรอก พี่เขามีแต่เราคนเดียว”

 

     “แต่แฟนนายเล่นประตูหลังเก่งแบบนั้น นายไม่แปลกใจเหรอ? แฟนนายอาจจะเป็นไบอยู่แล้วก็ได้ไรงี้อ่ะ”

 

     “ไม่มั้ง ครั้งแรกที่ทำมันก็ไม่ได้ดีอะไรมากนักหรอกไปป์ แล้วพี่เขาก็เคยบอกเราด้วยว่าเราเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้พี่เขามีอารมณ์”

 

     ผมอยากจะยืนยันอย่างมั่นใจ แต่เสียงของผมเริ่มสั่นซะงั้น ไปป์ยักไหล่ไม่ใส่ใจก่อนจะยิงคำถามที่ทำให้ผมจุกมากกว่าเดิม

 

     “งั้นละถ้าพี่เขาปกติชอบผู้หญิงมาตลอด นายคิดว่าตัวเองจะหยุดเขาได้เหรอต้น ในเมื่อนายเป็นผู้ชาย”

 

     “เรา... ไม่รู้สิ หยุดได้ไม่ได้เราก็ไม่รู้ เรา...”

 

     คงเพราะผมอึ้งๆ ไป ไปป์เลยเริ่มรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมา

 

     “เอ้ย อย่าคิดมากนะ เราแค่ถามไปงั้นๆ แฟนนายท่าทางรักนายจะตาย คงไม่นอกใจนายหรอกมั้ง ละอีกอย่างอยู่กับนายแล้วก็คล้ายๆ กับอยู่กับผู้หญิงอยู่ละ นายไม่ต้องคิดมากหรอก”

 

     ถ้าจะปลอบกันแบบนี้ไม่ต้องปลอบกันเลยก็ได้นะไปป์

 

     “ไปป์ เราเป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง”

 

     “ขอโทษๆ เราไม่ได้หมายความแบบนั้น”

 

     “ช่างเถอะ”

 

     ไปป์เหล่ตามองผมแล้วก็ถามคำถามงี่เง่าออกมาอีกแล้ว

 

     “ถามจริง ไม่มีซักนิดเลยเหรอ?”

 

     “อะไร?”

 

     “อยากเป็นผู้หญิงไง?”

 

     ผมถูกถามคำถามแบบนี้อีกแล้ว... ผมมองหน้าไปป์อยู่ครู่นึงก่อนจะเปิดปากพูดในสิ่งที่ผมคิด

 

     “ก็มีนะ ก็อย่างที่นายพูดไปเมื่อกี้แหละ เพราะเราเป็นผู้ชาย มันไม่มีอะไรที่ยึดกันไว้ได้เลย แต่ถ้าเราเป็นผู้หญิง อย่างน้อยๆ เราก็แต่งงาน จดทะเบียน มีลูกกับเขาได้ แล้ว... ไม่รู้สิ พี่ชัชเขาก็ทำให้เรามีความสุขมากๆ เราก็เลย คือบางทีน่ะนะ.. บางทีมันก็มีบ้าง แบบว่า ถ้าเราเป็นผู้หญิง เราคงแต่งงานสร้างครอบครัวมีลูกกับเขาได้ อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าช่วยกันเลี้ยงหลานอะไรทำนองนั้นอ่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นได้มันก็คงจะดี เราคงมีความสุขมากๆ แต่เราก็คิดนะว่าถ้าไม่ใช่เพราะเราเจอพี่เขา เราก็คงไม่ได้คิดแบบนี้ เพราะเรารักพี่ชัช เราเลยอยากมีลูกกับเขาละมั้ง ซึ่งเราทำแบบนั้นไม่ได้เพราะเราเป็นผู้ชาย เราก็เลยคิดทำนองว่าถ้าเราเกิดมาเป็นผู้หญิงคงจะดีกว่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารับร่างกายที่เป็นผู้ชายของตัวเองไม่ได้นะ เราไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือทนไม่ได้ที่ตัวเองเป็นผู้ชายซักหน่อย แล้วเราก็โตมาแบบนี้ด้วย จนถึงตอนนี้เราก็คิดอยู่ว่าเราเป็นผู้ชาย”

 

     “เข้าใจละ ต้นไม่ต้องคิดมากนะ เราถามไปงั้นแหละ ไม่ได้ตั้งใจทำให้นายไม่สบายใจ เราว่านายดีขนาดนี้อ่ะ แฟนนายไม่ทิ้งนายหรอก ต่อให้นายโดนทิ้ง เผลอๆ ก็มีคนต่อคิวจีบนายอีกเพียบ”

 

     “บ้า ถ้าไม่ใช่พี่ชัชเราไม่รักใครหรอก”

 

     ผมยิ้มให้ไปป์ เจ้าคนขี้สงสัยประจำกลุ่ม แล้วก็เลื่อนจานใส่ฝรั่งที่ปลอกเสร็จแล้วไปให้ก่อนจะขอตัวเอามีดไปเก็บในครัว

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

 

 

  • Facebook Classic

FOLLOW ME

bottom of page