top of page

The story after that. - ต้นน้ำ

     ตอนดึกพวกเราเล่นเกมกันแต่ระหว่างนั้นไม่รู้ทำไมผมรู้สึกขนลุกแปลกๆ พวกนนกับเอกดูแปลกๆ ไป เอกนี่แทบไม่ยอมมองหน้าผมเลย ส่วนสายตาของโค่ที่มองมาทางผมมันก็ดูแปลกๆ แม้แต่มิวนิคยังไม่ค่อยยอมสบตาผม เอาแต่แอบมองละพอสบตากันทีไรก็หันหน้าหนีผมซะงั้น พวกเราตกลงกันว่าจะเล่นไพ่ครับ มีคนเอาไพ่มา แต่พอเล่นไปนานๆ ก็ชักเบื่อเลยเปลี่ยนเป็นเล่นเกมพระราชา

 

     แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ... ผมมักจะซวยโดนพระราชาสั่งแกล้งตลอดเลยครับ

 

     “เอ่อ โค่ ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้”

 

     ผมที่ถือเลข 8 กำลังโดนโค่ ที่ถือเลข 5 เอาแป้งประหน้าอยู่ครับ แถมด้วยลิปสติกเขียนแก้มอีกนิดหน่อย แต่.. ใกล้เกินไปแล้ว สัมผัสจากมือของโค่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้ครับ

 

     “เอ้ยๆ มัดจุกไอ้ต้นด้วย”

 

     นันส่งเสียงเชียร์ใหญ่เลยครับ พวกมันเก็บกดอะไรมากันรึไง?

 

     “พอใจยัง?”

 

     ผมถามขึ้นหลังจากมีสภาพไม่ต่างอะไรกับวันรับน้อง หน้างี้เลอะเต็มเลยครับ ทั้งแป้งทั้งลิป

 

     “เออๆ”

 

     พวกมันยอมจนได้ครับ แต่เล่นๆ ไป ในที่สุด ผมก็ได้เป็นพระราชา หึ หึ

 

     “เบอร์สอง กินวาซาบิก้อนนั้นให้หมดในคำเดียว”

 

     ก่อนหน้านี้ไปป์ซื้อซูชิมาทานครับ แต่ไม่ได้ทานวาซาบิ แล้วก็ไม่ยอมเอากล่องไปทิ้งด้วย ผมก็เลยปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมา

 

     “เชรี่ยต้นแม่งโหดอ่ะ”

 

     พัททิ้งไพ่ลงมาแบบเซ็งๆ ครับ ฮ่าๆ สมน้ำหน้า ผมนั่งอมยิ้มมองดูพัทน้ำตาไหลหน้าแดงเพราะวาซิบิมันฉุนขึ้นจมูกด้วยความสะใจที่ได้เอาคืน

 

     พวกเราสรรหาเกมมาเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงเกือบเที่ยงคืน มิวนิคก็เสนอว่าไหนๆ พวกเราอุตส่ามาเที่ยวด้วยกันแล้วน่าจะสนิทกันให้มากขึ้น เลยเสนอเกมที่ว่า “คายความลับ” ถ้าหมุนปากกาแล้วมันชี้ไปทางใครคนนั้นก็ต้องเล่าความลับออกมาอย่างนึง แล้วก็หมุนต่อคนที่โดนชี้คนต่อไปก็เล่นต่อไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าตาแรก ไปป์เป็นคนซวยครับ

 

     “ความจริงแล้วเราแอบชอบน้องปีหนึ่งอยู่คนนึง เป็นน้องรหัสคนแถวๆ นี้แหละ”

 

     เท่านั้นแหละครับ แตกฮือกันทันทีแต่ละคนแย่งถามกันใหญ่เพราะตอนนี้ไปป์คบอยู่กับรุ่นพี่คณะบัญชี แต่กฏก็ต้องเป็นกฏครับ ความจริงผมไม่อยากเล่นเกมนี้เลย ก็ความลับผมน่ะ... เยอะ

 

     และแล้ว มันก็มาโดนผมจนได้ครับ ในรอบที่สิบ แต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะฟังความลับของผมมาก ดูแต่ละคนตั้งหน้าตั้งตารอกันใหญ่เลย

 

     เอาเถอะ ยังไงเดี๋ยวคนอื่นก็ต้องสังเกตเห็นอยู่ดี พูดเรื่องที่เซฟที่สุดก็แล้วกันครับ

 

     “ความจริงแล้ว พ่อเรายังไม่ตาย พ่อเรากับแม่แค่แยกกันไปเฉยๆ เราไม่ได้มีแต่แม่คนเดียวเหมือนที่เคยบอกพวกนาย”

 

     “เฮ้ยไรวะ ไม่เอาเรื่องนี้ เอาเรื่องแฟนมึงดิ”

 

     มิวนิคพูดแทรกผมขึ้นมาแบบนั้น ผมแปลกใจนะ ไม่คิดว่าเขาจะยังติดใจเรื่องรอยสักเมื่อตอนเย็นอยู่

 

     “แฟนอะไร? บ้าแล้ว แค่บอกให้พูดความลับไม่ได้บอกว่านายมีสิทธิ์ถาม”

 

     “โหยไรวะต้น ไม่แฟร์อ่ะ”

 

     “แต่นี่ก็ความลับเราเลยนะ”

 

     “ใครมันไปอยากรู้เรื่องพ่อมึงวะ กูอยากรู้เรื่องแฟนมึงที่เป็นเกย์อ่ะ”

 

     มิวนิครู้เรื่องนี้ได้ยังไครับ? ผมอึ้งพอสมควร ชักสังหรณ์ใจแปลกๆ

 

     “นายรู้ได้ยังไง แฟนเราอาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้”

 

     “เอ่อ....”

 

     “ผู้ชายเขาไม่สักตรงนั้นกันหรอกต้น ส่วนใหญ่คนที่สักตรงนั้นมีแต่ผู้หญิงกับเกย์น่ะ”

 

     พี่ณตครับ ไม่ต้องแสดงความเห็นอันเชี่ยวชาญออกมาก็ได้ครับ ผมรู้ว่าพี่เป็นเกย์ แต่ไม่ต้องแสดงความรอบรู้ของพี่ตอนนี้เลยครับขอร้อง!

 

     “แต่นั่นมันเรื่องส่วนตัวเรา แล้วก็หมดตาแล้วด้วย”

 

     “งั้นถ้าแกได้อีกตาหน้าต้องบอกเรื่องแฟนนะ”

 

     “เอาสิ ถ้าเราโดนอีกน่ะนะ”

 

     ผมยิ้มอวดดีส่งไปให้พวกแมงเม่าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน

 

     “ต้นแม่งไม่แฟร์อ่ะ เรื่องพ่อยังอยู่แค่นี้เป็นความลับตรงไหนวะ คนอื่นก็พ่อแม่หย่ากันตั้งเยอะ”

 

     ยังมีบ่นนะมิวนิค ผมตัดสินใจทิ้งไพ่ตายลงไป

 

     “งั้น ถ้าเราบอกว่าความลับนี้เราหวงยิ่งกว่าเรื่องที่ว่าเราเป็นเกย์รึเปล่าล่ะ ตอนที่ให้ดูรอยสักเรายังกล้ายอมรับง่ายๆ เลยว่าเรามีแฟนแล้ว แต่เราไม่เคยพูดเรื่องพ่อมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ”

 

     “จริงดิ แล้วมันสำคัญยังไงวะ เรื่องพ่อมึงเนี่ย ความลับตรงไหน?”

 

     “ก็ความลับตรงที่ว่า พ่อเราเป็นใครคนนึงที่พวกนายทุกคนรู้จักน่ะสิ”

 

     “เฮ้ย พ่อมึงเป็นดาราเหรอ? หรือนักการเมือง”

 

     จินตนาการไปได้นะครับ ฮ่าๆ แต่ไม่เอาหรอก ผมไม่บอกละ

 

     “ไม่บอก หมดตาแล้ว ไว้เดี๋ยวอีกหน่อยถ้าพวกนายสังเกตก็รู้เองแหละ ฮ่าๆ”

 

     เรายังเล่นเกมกันต่ออีกราวๆ ชั่วโมงนึง แต่ผมรอดมาได้เกือบทุกครั้งหลังจากนั้นครับ บางคนยังนั่งทำมิวสิคกันต่อ แต่ผมไม่ไหวแล้ว เลยขอตัว เพราะต้องขึ้นมาล้างหน้าล้างตาอีก ชั้นบนไม่มีแอร์นี่ร้อนจริงๆ เลยครับ แต่ก็ยังโชคดีที่ยุงไม่เยอะ ผมเลยกะว่าจะอาบน้ำอีกรอบก่อนนอน

 

     พอผมอาบน้ำเสร็จ กะจะนอน .... พวกมิวนิคกับโค่ที่เมื่อตะกี้ยังเห็นนั่งๆ เฮฮากันอยู่เลยกลับขึ้นมาทำท่าจะนอนแล้วซะงั้น ผมว่ามันชักแปลกๆ แล้วครับ ลางสังหรณ์ผมมันเตือนว่าสองคนนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ ไป

 

     ผมตรงไปที่ฟูกอันที่สองถัดจากริมด้านนอกสุดติดระเบียง ผมวางกระเป๋าไว้ตรงนั้นเป็นการจองที่ตั้งแต่ตอนที่มาถึงแล้วครับ ส่วนอันนอกสุดเป็นของโอม คิดไปคิดมา เวลาที่ผมไปค่ายหรือไปค้างคืนกิจกรรมที่ไหนก็ตาม ผมกับโอมนอนข้างๆ กันตลอด

 

     ผมเก็บของ หยิบโลชั่นออกมาทาตามปกติของผมไป เสร็จแล้วผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นมีมิสคอลอยู่หนึ่งสาย ไม่กี่นาทีก่อน จากแม็กซ์ ผมดูเวลาแล้วยิ้มออกมา ดึกแบบนี้แม็กซ์ยังไม่นอนหรอกครับ พึ่งจะโทรหาผมเมื่อ 5 นาทีก่อน ยังไม่หลับง่ายๆ ขนาดนั้นแน่

 

     ผมเลยเดินเลี่ยงออกไปตรงส่วนระเบียงเล็กๆ ด้านหน้าเพื่อคุยโทรศัพท์กับแม็กซ์ เสียงของแม็กซ์ที่รับโทรศัพท์ฟังดูหอบๆ

 

     “เป็นไรป่าวนั่น? เราโทรมากวนเหรอ?”

 

     “เปล่าๆ ไม่เลยต้น โทรมามีไรเหรอ”

 

     ผมเซ็งอยู่ 3 วิ! ก็แม็กซ์ต่างหากที่เป็นคนโทรหาผมก่อน ผมเลยย้ำเสียงเน้นทีละประโยคชัดๆ ใส่เขา

 

     “นายนั่นแหละ โทรหาเรา มีอะไร”

 

     “โหต้นอ่ะ อย่าโกรธกันดิ เราก็แค่คิดถึง ไปเที่ยวไม่ชวนกันบ้างเลย”

 

     “ชวนได้ไง เรามากับเพื่อนเราที่มหาลัย นายก็ไปกับเพื่อนนายสิ”

 

     เสียงผู้หญิงร้องเรียกชื่อแม็กซ์ดังขึ้น! ผมคิดว่าแม็กซ์ไม่ได้อยู่เชียงใหม่แน่ๆ เพราะเมื่อสองวันก่อนยังบอกผมว่าอยู่กรุงเทพฯ อยู่เลย และแม็กซ์ก็บอกเองว่าแฟนยุ่งมาก ไม่มีเวลาลงมาหาเขาที่กรุงเทพฯ ส่วนแม็กซ์เองก็ยังไม่ได้จองตั๋วกลับไปเชียงใหม่หาแฟน แล้วนั่นมันใครกันครับ แม็กซ์ทำนิสัยแบบนี้อีกแล้ว!

 

     “นั่นไม่ใช่แฟนนายใช่มั้ย?”

 

     “เอ้ยต้นเข้าใจผิดแล้ว! นั่นแค่เพื่อน พอดีเรามาเที่ยวบ้านเพื่อนนิดหน่อย มีปาร์ตี้กันอ่ะ”

 

     “ปาร์ตี้ที่ขาดเสียงเพลงเนี่ยนะ?”

 

     “ก็... จะได้คุยกับต้นรู้เรื่องไง เราเดินมาอีกห้อง”

 

     “ประจำอ่ะแม็กซ์ หวังว่านายคงไม่นอนกับเพื่อนคนนั้นของนายหรอกนะ สงสารแฟนนาย”

 

     “โหยต้น เห็นแม็กซ์เป็นคนยังไงครับ แม็กซ์รักสนุกก็จริง แต่แม็กซ์ไม่เลวขนาดนอกใจแฟนนะ ถ้าแม็กซ์มีแฟนแล้วแม็กซ์ไม่ทำกับคนอื่นหรอก”

 

     ผมเงียบ ผมคบกับแม็กซ์มานานพอจะเห็นธาตุแท้ของแม็กซ์นะครับ เมื่อก่อนผมไม่เคยสน แต่ตอนนี้ผมสนครับ ผมสงสารผู้หญิงคนนั้น แม้ว่าแม็กซ์จะเป็นเพื่อนผมก็ตาม ไม่มีใครอยากเห็นแฟนตัวเองนอกใจหรอกครับ รวมทั้งตัวผมเองด้วย พอเห็นผมเงียบแม็กซ์ก็รีบพูดต่อทันที

 

     “ต้นเชื่อแม็กซ์นะ แม็กซ์ไม่ทำตัวแบบนั้นหรอก นี่แค่มาปาร์ตี้จริงๆ อยู่คนเดียวมันเหงาอ่ะ”

 

     “แม็กซ์ดื่มรึเปล่า?”

 

     “ก็นิดหน่อย”

 

     “ดื่มอย่างเดียวใช่มั้ย เรารู้ว่าแม็กซ์เลิกแล้ว แต่... แม็กซ์ อย่าเล่นยานะ”

 

     “เฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว! ต้นก็รู้จักแม็กซ์ดีไม่ใช่เหรอ แม็กซ์เลิกแล้ว ไม่กลับไปเล่นหรอก ไม่งั้นพ่อแม็กซ์เอาตายเลย”

 

     “ก็ดีแล้วล่ะ”

 

     ผมพูดไม่ออก คือผมก็รู้นะครับว่าแม็กซ์เป็นยังไง แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้หรอกครับ ในสังคมเพื่อนฝูงแบบนั้น พวกเด็กไฮโซที่ชอบจัดปาร์ตี้มั่วสุมกัน ทั้งเหล้า ยา เซ็กส์ เรื่องพวกนั้นมันเรื่องปกติของแม็กซ์

 

     ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แม็กซ์มักชวนเพื่อนไปดื่มที่ห้องเป็นประจำ มีผู้หญิงเกือบทุกครั้ง แล้วก็เคยลองเสพยาไอซ์ด้วย แต่แม็กซ์ใจแข็งครับ โชคดีที่แม็กซ์ไม่ติด บุหรี่แม็กซ์ก็ไม่ได้สูบแล้ว ผมกลัวก็แต่ว่าแม็กซ์จะตกไปอยู่ในวังวนอุบาทว์แบบนั้นอีกนั่นแหละครับ

 

     “เชื่อใจแม็กซ์นะ แม็กซ์แค่มาปาร์ตี้ เนี่ยพึ่งดื่มเหล้าไปสองแก้วเองกลัวขับกลับไม่ไหว จะว่าไปก็เพราะต้นหนีไปเที่ยวคนเดียวอ่ะแหละ”

 

     “ก็ไปชวนพวกอาร์มกับกายสิ”

 

     “ก็รอกายมันขึ้นมาอยู่เนี่ย ละว่าจะไปเที่ยวกัน ขับรถไปเอง ต้นไปด้วยกันป่าว”

 

     “ไม่ดีมั้ง?”

 

     “ทำไมอ่ะ กลัวแฟนหึงเหรอ? ทีไปกับเพื่อนที่มหาลัยยังไปได้ ไปค้างคืนกับแม็กซ์ไม่ได้เหรอ”

 

     “จะบ้าเหรอ พี่ชัชไม่ใช่คนไร้เหตุผลแบบนั้นซักกะหน่อย!”

 

     “ฮ่าๆ ครับๆ แฟนต้นอ่ะมีเหตุผลที่สุดในโลกแล้ว”

 

     เรื่องอะไรมาว่าแฟนผมเนี่ย แม็กซ์เมาแล้วแน่ๆ

 

     “นายเมาแล้วแม็กซ์ ดึกแล้ว ละเราก็จะไปนอนแล้วด้วย”

 

     “คร้าบๆ ฝันดีนะต้น”

 

     “อืมฝันดี ขับรถกลับบ้านดีๆ นะ”

 

     ผมยิ้มให้กับเพื่อนปลายสายแม้รู้ดีว่าเขาจะไม่เห็นรอยยิ้มของผมหรอก แม็กซ์ยอมผมตลอดนั่นแหละครับ ไม่ว่าเรื่องอะไร มันทำให้ผมรู้สึกดีนิดหน่อยนะ เหมือนตัวเองมีอำนาจเล็กๆ

 

     ผมเดินกลับเข้ามาในห้องเตรียมตัวนอนจริงๆ จังๆ แล้วครับ แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ ไปป์กับโค่กำลังเถียงกันอยู่เรื่องที่นอน

 

     “กูร้อน กูอยากนอนใกล้ๆ ระเบียง”

 

     “อันนั้นของโอม มันจองไว้นานแล้ว”

 

     “ก็ใช่ไง กูเลยจะนอนถัดจากนั้น”

 

     “อันนั้นของต้น”

 

     “กูก็จะนอนถัดจากต้นแหละ มึงอ่ะเกะกะถอยไปเลยไปป์”

 

     “ก็ถัดจากต้นอ่ะของกู มึงอ่ะ ไปไกลๆ เลย อย่าคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงคิดไรนะสาด”

 

     “เถียงอะไรกันเหรอ?”

 

     “ไม่มีไรหรอกต้น โค่มันเรื่องมาก ไม่ยอมจองที่ไว้เองแล้วมาดิ้นอ่ะ”

 

     ผมมองหน้าไปป์ที่ยิ้มกวนๆ สลับกับหน้าโค่ที่ดู... ผมว่าโค่มีอะไรแปลกไปจริงๆ นั่นแหละครับ

 

     “ทีหลังก็จองที่ไว้แต่แรกสิโค่ ไม่ก็ไปถามโอมสิว่าจะสลับกับนายมั้ย”

 

     “เอ้ย ไม่ได้นะต้น!”

 

     ผมหันไปมองไปป์ที่ขึ้นเสียงสูง

 

     “ไอ้เชี่ยโค่มันนอนดิ้นจะตายไม่กลัวรำคาญมันเหรอ ให้มันมานอนติดๆ กัน”

 

     “ไม่เป็นไรหรอก เราชินแล้วกับการนอนข้างๆ คนนอนดิ้น ถีบมาก็ถีบกลับ รัดมาก็เอาศอกถอง”

 

     ผมพูดขำๆ ไปงั้นแหละครับ แต่ไม่รู้ว่ามุขผมแป๊กรึเปล่า โค่เลยเดินหนีผมทันที เฉไฉไปนอนซะไกลเลย เกือบสุดอีกฝั่ง เหลือแต่ไปป์นี่แหละยังพันแข้งพันขาผมอยู่

 

     ผมตบหมอนเบาๆ เตรียมตัวนอน ผมเป็นพวกหลับง่าย ตื่นง่ายครับ สะดุ้งตื่นได้ง่ายมากๆ มักตื่นค่อนข้างเป็นเวลาด้วย ถ้าไม่ได้เจออะไรที่ทำให้ผมเพลียหรือไม่สบาย แต่... ไปป์ที่นอนตาแป๋วจ้องผมอยู่แบบนี้ ผมอึดอัดนะครับ นอนไม่หลับหรอก และในขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะพลิกตะแคงหันไปอีกข้างฝั่งโอมดีรึเปล่า เพราะโอมยังไม่ขึ้นมานอน ไปป์ก็พูดขึ้นมาซะก่อน เสียงแจ๋วๆ ของไปป์ในตอนที่กระซิบกระซาบแบบนี้ยิ่งเหมือนเด็กเข้าไปใหญ่เลยครับ นี่ผมอยู่ในค่ายลูกเสือรึยังไงเนี่ย?

 

     “ต้น นายใช้ครีมอาบน้ำไรอ่ะ โคตรหอมเลย”

 

     “ไร? กลิ่นนี้เหร”

 

     ผมยังพูดไม่ทันจบ ไปป์ก็คว้าแขนผมไปดม คือดมจริงๆ นะครับ ดมฟุดฟิด ไม่ใช่หอม หรือจูบ แต่เป็นการใช้จมูกสูดกลิ่นดม

 

     “อ้าว คนละกลิ่นกับตอนต้นอาบน้ำนี่หว่า ตอนนั้นเราอยู่หน้าห้องน้ำกลิ่นมันฟุ้งออกมาเลย”

 

     นายเป็นหมาเหรอไปป์?

 

     “นั่นกลิ่นสบู่มั้ง นี่เราทาโลชั่น”

 

     “ต้นแม่งตัวหอมว่ะ เราว่าสบู่หอมละนะ กลิ่นโลชั่นนี่หอมกว่าอีกอ่ะ ยืมใช้มั่งดิ”

 

     “ขอบใจที่ชมนะ แต่เราง่วง อยากใช้ไรก็หยิบเอาเองละกัน เราจะนอนละ”

 

     ว่าแล้วไปป์ก็ลุกไปรื้อกระเป๋าผมจริงๆ ด้วย ไอ้คนไร้ความเกรงใจเอ้ย! ผมตัดสินใจหันไปอีกด้านแล้วนอนหันหลังให้ไปป์ทันทีครับ ก่อนที่ผมจะโมโหจนไม่มีอารมณ์นอน!

 

     ผมตื่นตอนเช้ามืดตามปกติ เข็มพรายน้ำบนหน้าปัดนาฬิกาบอกผมว่าเป็นเวลาตีห้ากว่าๆ แล้ว ทั่วทั้งชั้นเงียบสงบไร้ซึ่งเสียงใดๆ นอกจากเสียงกรนของเพื่อนๆ ผมเอง ผมลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าที่กองเตรียมไว้แล้วเมื่อคืนเดินไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำอย่างเบาเสียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสร็จแล้วก็เดินลงไปยังชั้นล่าง ตั้งใจว่าจะออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น

 

     “พี่ณต พี่เบียร์”

 

     พี่สองคนที่ยังนั่งกันอยู่ที่ชั้นล่างหันมาทักผม ท่าทางไม่เหมือนคนพึ่งตื่นเลยครับ เหมือนคนไม่ได้นอนมากกว่า

 

     “อ้าว ดีต้น ตื่นเช้าจัง”

 

     “อย่าบอกนะครับ ว่าโต้รุ่ง”

 

     “ฮ่าๆ”

 

     พี่ณตหัวเราะออกมานิดหน่อยส่วนพี่เบียร์ก็ยิ้มๆ ตามสไตล์ครับ

 

     “จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเหรอ?”

 

     “ครับ ก็ว่าจะไปเดินๆ ดูอะไรหน่อย แล้วก็จะไปดูด้วยว่าแถวนี้มีอะไรขายมั้ย เพราะถ้าพวกนั้นตื่นแล้วคงหิวกัน อาหารเช้าที่แถมมีแค่พวกกาแฟโอวัลตินกับขนมปังปิ้งใช่มั้ยครับ ไม่พอยาไส้พวกมันแน่ๆ แถมกลางวันกับเย็นนี้เราต้องหากินเอง?”

 

     ได้โอกาสแล้วก็ขอปรึกษาพี่เบียร์หน่อยล่ะครับ แกเหมือนเฮดของกลุ่มพวกเราเลย

 

     “อืม เพราะเมื่อวานเราสั่งเขาไว้ว่ามื้อเย็นอยากได้เซ็ทบาบีคิว เลยมีมา แต่พี่ว่ามันน้อยๆ ว่ะ คืนนี้เตาเราก็มีแล้ว ในครัวก็พอมีอุปกรณ์อยู่ เราน่าจะไปซื้อของสดมาลองทำกันเองดูนะ”

 

     “ครับ ผมว่าจะไปถามเรื่องรถด้วย เพราะที่นัดกันไว้กว่ารถตู้จะมาก็วันกลับเลย ช่วงสองวันนี้อยากหารถเช่ามาไว้ใช้ก่อน ไม่งั้นคงไม่สะดวก เผื่อต้องไปไหนมาไหน”

 

     “เออดี งั้นพวกพี่ไปด้วยคนดิ”

 

     “เอาสิครับ”

 

     แล้วผมกับพี่ณตพี่เบียร์ก็ออกไปเดินเล่นรับแสงตะวันยามเช้ากันครับ พวกเราเดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงหน้าบ้านของเจ้าของบังกะโลที่พวกเราพักอยู่ ผมลองถามถึงเรื่องอาหาร คุณป้าบอกว่าถ้าเราจะทำอาหารก็สามารถไปซื้อของสดมาทำได้ เพราะบ้านพักหลังที่เราพักมีครัวเล็กๆ ไว้อยู่แล้ว ถึงจะเหมาะสำหรับการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าแต่ถ้าหากขาดเหลืออะไรก็มีอุปกรณ์ให้ยืม ไม่คิดเงินเพิ่ม แต่ต้องทำเรื่องไว้ว่าจะยืมอุปกรณ์อะไรบ้างก็พอ

 

     บ้านพักแนวโฮมสเตย์มันก็ดีแบบนี้แหละครับ เรียบง่ายเป็นกันเอง แถมแกยังชี้ทางไปตลาดที่สามารถซื้อของสดใกล้ๆ ให้พวกเราอีกต่างหาก แต่ตลาดใกล้ๆ ของแก พวกเราก็ต้องเดินกันไกลพอสมควรครับ เล่นเอาพี่เบียร์บ่นอุบ แต่ทำยังไงได้ ไปกันเกินครึ่งทางแล้วยังไงก็ต้องเดินครับ

 

     ตลาดที่พวกเราไปเป็นตลาดที่ขายของเกือบทั้งวันครับ พวกเราเลยเลือกที่จะซื้อเฉพาะอาหารเช้ากับอะไรง่ายๆ แบกกลับไปให้พวกลูกนกที่ป่านนี้น่าจะเริ่มตื่นกันแล้วก่อน ไม่กล้าซื้อเยอะครับ กลัวหิ้วหนัก แต่โชคดีที่พี่เบียร์ตาไว มองเห็นร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ซะก่อน พวกผมเลยไปติดต่อขอเช่ามอเตอร์ไซค์สองคันทันทีครับ ให้เดินกลับก็ไม่ไหวนะ

 

     พอมีรถแล้วผมกับพี่ๆ ก็เลยหอบของได้สบายขึ้นครับ แต่พอตอนจะกลับพี่ณตกลับเลือกนั่งซ้อนท้ายคันผมซะงั้น พี่แกอ้างว่าไม่อยากซ้อนท้ายพี่เบียร์เพราะกลัวพากันลงข้างทาง ซึ่งมันก็จริงนะครับ พี่เบียร์ยังไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ผมล่ะเป็นห่วงจริงๆ กลัวแกจะขับรถกลับแบบไม่สวัสดิภาพ เพราะใบเช่าที่ทำไว้มันใช้บัตรประชาชนผมค้ำไว้น่ะสิครับ!

 

     “เอ่อ... พี่ณตครับ ไม่ต้องกอดเอวผมแน่นขนาดนั้นก็ได้ครับ”

 

     ผมขนลุกนะ! พอพี่ณตขึ้นซ้อนท้ายผมได้พี่แกก็เกาะผมซะแน่นเลย

 

     “โทษทีๆ พี่กลัวตกว่ะ”

 

     “ไหวมั้ยครับ? ดูพี่สองคนเกือบจะฟุบอยู่แล้วนะครับ”

 

     “ไหวๆ ขับนำไปได้เลยต้น”

 

     พี่เบียร์ส่งเสียงแจ้งสถานะตัวเองทันทีที่ผมแสดงความเป็นห่วง แต่พี่ณตกลับปากเสียแซวเพื่อนตัวเองซะงั้น ผมไม่ขำนะนั่น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ มันจะซวยผมเอา

 

     “หันไปดูมันด้วยอ่ะ เดี๋ยวไอ้เบียร์มันหายระหว่างทาง ฮ่าๆ”

 

     ผมส่ายหน้านิดหน่อยก่อนจะขับต่อ แต่ซักพักพี่ณตก็ชวนผมคุยครับ

 

     “ต้นขับมอเตอร์ไซค์นิ่มดีว่ะ พี่เคยหัดอยู่แต่ยังขับไม่แข็งเลย”

 

     “เพื่อนสนิทผมเคยสอนไว้น่ะครับ”

 

     “ต้นนี่ทำไรได้หลายอย่างเลยเนอะ เห็นเงียบๆ เอาแต่อ่านหนังสือ ใครจะไปนึกว่าเราทั้งเล่นกีต้าร์ได้ ทั้งจุดเตาถ่านเป็น ขับมอเตอร์ไซค์ก็ยังได้ ยังมีไรอีกป่าวที่เราทำได้”

 

     คำพูดของพี่ณตทำให้ผมอมยิ้ม ผมเลยตอบไปแบบอวดดีนิดๆ ว่า

 

     “ยังมีอะไรอีกเยอะครับที่พี่ไม่รู้ว่าผมทำได้”

 

     แล้วผมก็ได้พิสูจน์ทันตาเห็นเลยครับ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา!

 

     เพราะพอพวกเรากลับไปถึงบ้านพักแล้ว เจ้าพวกนั้นก็ทะยอยตื่นกันแล้วครับ โดยเฉพาะสามสาวที่ออกมานั่งแอค 18 ท่ารับแสงตะวันริมหาดกันอย่างสนุกสนาน

 

     โอมก็เช่นกันครับ ตื่นแล้วเหมือนกัน ผมไม่แน่ใจนักว่าเมื่อคืนโอมอยู่ถึงดึกขนาดไหน แต่โอมมักจะตื่นเช้าเป็นประจำครับ เวลาไปไหนด้วยกันผมไม่เคยต้องปลุกโอมเลย ผมชอบโอมก็ตรงนี้แหละครับ คล้ายๆ ผมในหลายๆ เรื่อง

 

     “ต้น ไปไหนมาเหรอ โห ซื้อไรมาเยอะแยะอ่ะ?”

 

     เมย์ทักผมทันทีที่พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาถึงหน้าบ้านพัก

 

     “ไปตลาดมา หิวยัง? เราซื้อน้ำเต้าหูกับปาท่องโก๋มาด้วยทานมั้ย?”

 

     นอกจากบรรดาแก๊งค์ของผมที่กรูกันเข้ามาขอส่วนแบ่งแล้ว เหล่าบรรดาผีโหยที่เริ่มทยอยตื่นกันแล้วก็พากันมาขอส่วนบุญด้วยเหมือนกันครับ อย่างที่ผมคิดไว้เลยแค่ขนมปังปิ้งกับเนยและแยมชุดเล็กๆ แล้วก็โอวัลตินที่เป็นมื้อเช้าจากทางบ้านพักนั้นมันไม่พอยาไส้เพื่อนผมจริงๆ

 

     ยังไม่ทันจะเลยเก้าโมงดี ของกินที่ผมซื้อมาก็มีสภาพเหลือแต่ซากเท่านั้นแหละครับ พวกที่ยังไม่ตื่นก็อดไปตามระเบียบ เหลือแค่ขนมเล็กๆ น้อยๆ ไม่กี่ซองที่ยังไม่ได้แกะ พวกไม่เรื่องมากไม่บ่นอะไรหรอกครับ แต่ไอ้พวกเรื่องมากนี่สิ ทั้งขี้ข่นทั้งงอแง โวยวายหาว่าไม่เหลืออะไรไว้ให้พวกมันทาน ที่จริงมันก็เหลือนะครับ แต่ขนมปังปิ้งที่เย็นชืดแล้ววางตากลมจนแข็ง ใครมันจะไปอยากกินล่ะครับ

 

     คนที่ขับรถเป็นก็โชคดีหน่อย ยืมมอเตอร์ไซค์ไปหาของกินกันตามสบาย บางคนก็เลือกที่จะไปเดินเล่นก็มี เรามาพักกันสี่วันสามคืนครับ วันนี้เลยบรรยากาศชิลๆ ตามอัธยาศัยกันเต็มที่ เลยรวมไปถึงพวกที่นอนเต็มที่ยังไม่ตื่นอย่างอัฐกับพัท แล้วก็พวกพี่เบียร์พี่ณตที่ขึ้นไปหลับต่อ ส่วนกลุ่มบ้าพลังอย่างพวกมิวนิค เป้ นัน นั้นวิ่งลงทะเลไปแล้วครับ เชื่อเขาเลย

 

     ราวๆ เกือบสิบโมง เพื่อนร่วมแก๊งค์คนสุดท้ายของผมก็ตื่นครับ คนอื่นๆ เกือบไม่มีใครอยู่ในบ้านพักแล้วนอกจากพวกที่ขึ้นไปนอนต่อ ที่เหลือถ้าไม่เล่นน้ำก็นั่งชิลอยู่หน้าบ้าน ผมฝากให้โอมพาสามสาวไปตลาดครับ เพราะฉะนั้นตอนนี้เลยไม่มีมอเตอร์ไซค์แล้ว ใครอยากไปไหนต้องเดินเอง ยังดีที่แก้วกับโอมขับมอเตอร์ไซค์เป็น เด็กต่างจังหวัดอย่างแก้วสบายๆ อยู่แล้วครับ พวกเธออาสาจะไปหาวัตถุดิบทำมื้อกลางวันมาให้ กระเป๋าเงินกองกลางโดนป่านยึดไปแล้ว ผมได้แต่หวังว่าพวกนั้นจะไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายนะครับ ยังเหลืออีกหลายมื้อ

 

     “ต้น หิวจังเลย”

 

     มาถึงก็บ่น ผมมองไปป์ที่เดินลงมาจากชั้นบนด้วยหางตาบ่งบอกให้รู้ว่าเซ็งครับ ผมกำลังเก็บข้าวของเกลื่อนกลาดที่วางระเกะระกะอยู่ตรงชั้นล่างนี่อยู่ แล้วไหนจะยังเศษทรายพวกนั้นอีก ไอ้พวกเพื่อนๆ ผมมันเดินเข้าบ้านไม่เช็ดเท้ากันเลยครับ เลอะเทอะไปหมดเลย ไม่เชิงว่าผมเป็นพวกรักความสะอาดหรอกนะครับ แต่พอเดินไปเดินมาแล้วมันเหยียบลงไปบนพื้นที่มีทรายเขรอะๆ อยู่ทั้งแบบแห้งและก็แบบคราบแฉะๆ เปียกๆ แล้วมันก็... อี๊ ทนไม่ไหวครับ

 

     “มีไรเหลือให้เรากินมั่งอ่า หิว”

 

     ผมชี้ไปบนโต๊ะแล้วก็บอกไปป์ด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

 

     “มีเท่าที่เห็นนั่นแหละ ทีหลังตื่นเช้าๆ สิ ตื่นมากินก่อนก็ได้ ละค่อยไปนอน”

 

     “ไอ้พวกนั้นมันไม่เหลือไรไว้ให้เราเลยนี่หว่า”

 

     ไปป์มองดูซากของเหลือแล้วบ่นอุบทันทีครับ มันก็จริงนะ ของที่เหลือๆ อยู่นั้นหน้าตาไม่น่ากินสุดๆ ไปเลยครับ เห็นแล้วก็อดสงสารไปป์ไม่ได้ อ๊ะจริงสิ! ผมว่าผมเห็นทางออกแล้วนะ

 

     “ข้าวผัดมั้ย มีข้าวสวยเหลือนิดหน่อยจากเมื่อวาน ยังไม่บูด ผัดกับพวกหอยที่เหลือก็ได้ เมื่อเช้าเราซื้อไข่สดมาด้วย เดี๋ยวทำให้?”

 

     “จริงดิ ละจะกินได้เหรอ”

 

     โอ้โห! ถามกันแบบนี้ไม่ต้องกินก็ได้นะไปป์ ถ้าผมไม่มั่นใจว่าทำแล้วกินได้ผมคงไม่ถามแบบนี้หรอกครับ หน้าตาของผมคงออกอาการ เพราะไปป์รีบง้อผมทันที

 

    “เราแซวเล่นหน่อยเดียวเอง อย่าโกรธนะ”

 

     ก็ดีครับ รู้จักง้อขอโทษกันแบบนี้ ผมเองก็ใจกว้างพอ ผมให้อภัยครับ แค่เห็นหน้ายิ้มๆ ของไปป์ก็ใจอ่อนแล้ว

 

     “งั้นรอแปปนึงนะ ขอถูหน้าบ้านตรงนี้อีกรอบนึงก่อน ทรายเต็มเลย นายไปอาบน้ำก่อนก็ได้ แปรงฟันด้วยอ่ะ”

 

     “คร้าบ แม่ต้น”

 

     “ไปป์!”

 

     ไม่ทันแล้วครับ ไปป์เผ่นขึ้นบันไดไปแล้ว อย่างรวดเร็วซะด้วย ให้ตายสิ มาเรียกผมแบบนั้นได้ยังไงกัน!

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

 

 

  • Facebook Classic

FOLLOW ME

bottom of page