top of page

     “มีไรเหรอต้น?”

 

     “เปล่า ไม่มีไรหรอก ผู้ปกครองเขาเป็นห่วงเฉยๆ น่ะ”

 

     ผมตอบโอมที่เป็นห่วงผมจนเดินตามมา เฮ้อ... ผมได้แต่หวังว่าโอมจะไม่กลายไปเป็นเหมือนแม็กซ์นะครับ แต่เอาเถอะ เรื่องความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้ แล้วในกรณีโอมก็ถือว่าดีกว่าแม็กซ์เยอะเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ โอมก็ค่อนข้างขี้อายกว่า รับฟังความคิดของคนอื่นมากกว่า แล้วก็ไม่เจ้าอารมณ์แบบแม็กซ์ ติดจะเงียบๆ คล้ายๆ ผมมากกว่า

 

     ผมอยู่ทำกิจกรรมกับเพื่อนที่คณะต่ออย่างไม่อยากจะสนใจ ผมว่าผมพอรู้นิสัยพี่ชัชแล้วนะจากการแอบมองพี่เขามาตลอดหลายปี แต่พอได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆ แล้วล่ะผมยอมแพ้เลย รู้เลยทำไมพี่ฟ่างทนพี่ชัชไม่ได้ พี่ฟ่างเป็นผู้หญิงประเภทมั่นใจในตัวเองสูง ไม่ยอมใคร ส่วนพี่ชัชก็พอกันครับ เป็นตัวของตัวเองสูงสุดๆ ถึงบทหวานพี่ชัชจะหวานมากก็เถอะ แต่ชอบใจร้อนแล้วก็ชอบโมโหแบบไร้สาระบ่อยสุดๆ แล้วเวลาพี่ชัชโมโหก็น่ากลัวมากๆ ด้วยครับ ถึงพักหลังๆ นี่พี่ชัชไม่เคยโมโหใส่ผมอีก แต่อย่าให้ผมนับเลยครับว่ากี่ครั้งกันที่ผมต้องเป็นคนห้ามทัพพี่ชัชไม่ให้ไปมีเรื่องกับชาวบ้าน แถมบทขี้เกียจนี่... ผมล่ะเซ็ง ชอบทำตัวซกมกอีเหละเขะขะ ถือว่าตัวเองงานยุ่งแล้วก็ชอบทำรกทิ้งไว้ แต่พอมีเวลาว่างก็เอาแต่นอนดูทีวี ไม่ยอมจัดการให้เรียบร้อย อ้างบอกอยากพักผ่อน แล้วไหนจะยังนิสัยเอาแต่ใจอีก ชอบคิดเองเออเองมีอะไรก็ตัดสินใจคนเดียวไม่ปรึกษากันบ้างเลย เวลาที่ผมโมโหทะเลาะกันกับพี่ชัชทีไร พี่ชัชก็ “คร้าบๆ” ตลอดแหละครับ รับปากส่งๆ ไปงั้น เป็นคนประเภทปากพูดครับได้ตลอด แต่เดี๋ยวก็ลืม อีกเดี๋ยวก็ไม่ใส่ใจ ต้องให้ผมพูดซ้ำๆ ซากๆ แล้วก็ไม่เคยเข็ดกับทุกๆ เรื่อง ทำผิดแล้วผิดอีกตลอด ... นี่ผมบ่นพี่ชัชไปกี่บรรทัดแล้วนะครับ?

 

     เฮ้อ .... เอาเป็นว่า พอได้มาอยู่ด้วยกันจริงๆ แล้วผมก็รู้ซึ้งถึงข้อเสียของพี่ชัชเพิ่มขึ้นอีกเพียบเลยละครับ แต่ทำยังไงได้ ผมรักพี่ชัชไปแล้ว รักมากด้วย แล้วข้อเสียแต่ละข้อของพี่ชัชก็ใช่ว่าผมจะทำเป็นมองข้ามไปไม่ได้ เพราะคงไม่มีข้อเสียข้อไหนที่มันเลวร้ายไปกว่าเมื่อตอนครั้งนั้นแล้วละครับ

 

     ผมยังจำได้ดีถึงคำขอโทษของพี่ชัช “พี่รู้ตัวว่าพี่ทำผิดกับต้นไว้มาก แต่จากนี้ต่อไปพี่จะพยายามปรับปรุงตัวนะ พี่คงไม่กล้าให้สัญญาอะไรอีกเพราะพี่ก็ไม่กล้ารับประกันเหมือนกัน แต่ถ้าพี่จะขอร้องต้นตรงๆ ว่าพี่อยากให้ต้นช่วยทนผู้ชายไม่ได้เรื่องคนนี้ พี่ขอความรักจากต้น ขอให้ต้นรักพี่เหมือนเดิม ต้นจะยอมตกลงมั้ยครับ” พอมาคิดๆ ดูแล้ว นั่นมันเห็นแก่ตัวมากๆ เลยไม่ใช่เหรอครับ?

 

     พี่ชัชขอให้ผมทนเขา แล้วเขาก็สมใจ! ผมเคยคิดว่าระดับความอดทนในตัวผมมีลิมิตที่สูงมาก แต่พอมาอยู่กับพี่ชัช ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิครับ โดยเฉพาะเรื่องบางเรื่อง เห็นผมไม่พูดใช่ว่าผมไม่รู้สึกนะครับ อย่าทำให้ผมหมดความอดทนก็แล้วกัน ไม่งั้นผมเอาเรื่องจริงๆ ด้วย

 

     “เป็นไรอ่ะ หน้าเครียดเชียว”

 

     โอมเบรคจังหวะความคิดผมที่กำลังบ่นใครบางคนอยู่ เฮ้อ... คนเซ้าซี้แบบนี้ผมก็ไม่ชอบนะครับ

 

     “เปล่านี่”

 

     “เหรอ ดีจัง เรานึกว่าต้นโกรธเราซะอีกที่ชวนต้นลงสต๊าฟกลุ่มจนต้นต้องมาทำอะไรแบบนี้”

 

     “แบบนี้” ที่โอมว่าก็คือมาเป็นรุ่นพี่ในสต๊าฟเชียร์นั่นแหละครับ ใช่ว่าผมรังเกียจกิจกรรมแบบนี้ซักหน่อย

 

     “ไม่หรอก ก็สนุกดี โอมไม่ต้องคิดมากหรอก”

 

     พอได้ยินแบบนี้โอมก็ยิ้มให้ผมทันที ทำไมผมจะดูไม่ออก ว่าโอมคิดอะไรกับผม

 

     “ต้น เดี๋”

 

     “ต้นจ๋า”

 

     โอมทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่โดนเมย์ตัดหน้าไปซะก่อน เมย์ก็คือคนที่บังคับยัดเยียดให้ผมใช้ “ริงโทนเฉพาะกิจ” ที่ว่านี่แหละครับ เธอถือวิสาสะเอามือถือของผมไปตั้งค่าเองเลยด้วย ไม่รู้จักเกรงใจกันมั่งเลย แต่ผมไม่อยากใส่ใจให้เป็นปัญหาก็เลยยอมปล่อยเลยตามเลยครับ

 

     เมย์เป็นเหมือนหัวหน้ากลุ่มสต๊าฟของพวกเรา แล้วก็เป็นเพื่อนเอกเดียวกันกับผมและโอมด้วย เมย์เป็นเด็กฟิสิกส์แปลกๆ ครับ ร่าเริง ชอบทำกิจกรรม มั่นใจ เป็นตัวของตัวเองสูง เข้าสังคมเก่ง แล้วก็เรียนเก่งมากๆ ด้วย แข่งกับผมเลยแหละ มันเฮิร์ทนะครับที่เราเคยมั่นใจว่าเราเก่งแต่มาเจอคนที่เก่งกว่า แล้วแถมยังเก่งกว่าเกือบทุกๆ ด้านแบบนี้ ที่สำคัญเมย์ก็คือผู้หญิงคนที่พี่ชัชยืนมองจนน้ำลายหกเมื่อตะกี้นั่นแหละครับ

 

     เมย์เข้ามาสั่งงานบางอย่างกับผมแล้วก็เรียกพวกสต๊าฟคนอื่นๆ ที่ต้องรับผิดชอบงานนี้เข้ามาฟังด้วย ผมพยายามทำความเข้าใจกับคำสั่งน่าปวดหัวของเมย์ เธอคิดบ้างมั้ยครับว่าคนอื่นเขาอาจจะไม่ใช่ซุเปอร์แมนนะครับ ถึงจะได้ทำให้ได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ เอาแต่ “ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้” ผมไม่น่าหลวมตัวรับทำงานนี้เลย ยังไงผมก็ไม่ชอบการเข้าสังคมแบบนี้เลยจริงๆ ผมไม่ชอบมีเรื่องยุ่งยากกับคนหมู่มากแบบนี้

 

     เพราะผมยังมีเรื่องติดขัดที่ต้องคุยกับเมย์ให้ได้ก่อนแยกย้าย เราสองคนเลยนั่งคุยกันอีกครู่หนึ่งจนเพื่อนๆ แยกย้ายกันเกือบหมด แต่โอมก็ยังคงนั่งรอผมอยู่

 

     โอมเป็นเพื่อนเอกเดียวกันกับผมครับ เงียบๆ ไม่ค่อยพูด เป็นเด็กเรียนธรรมดาๆ คนนึง เราสองคนนั่งติดกันตอนรับน้องวันแรก ต่อมาพอได้คุยกันแล้วรู้ว่าเรียนอยู่เอกเดียวกัน จึงไม่แปลกที่ผมกับโอมจะเกาะติดเป็นบัดดี้กัน แต่ถึงจะบอกว่าเป็นบัดดี้ มันก็แค่เดินไปทานข้าวด้วยกัน ขึ้นเรียนพร้อมๆ กัน จับคู่ทำงาน หรือไปไหนด้วยกันเฉพาะในมหาวิทยาลัยนี้เท่านั้นแหละครับ เราไม่เคยคุยเรื่องส่วนตัวกันมากไปกว่านั้น และแน่นอนว่าผมไม่เคยไปเที่ยวบ้านโอม โอมเองก็ไม่เคยมาบ้านผม เรื่องราวส่วนตัวของผมนอกเหนือไปจากเรื่องการเรียน ผมแทบไม่เปิดปากเล่าให้ใครฟัง คงเพราะผมยังไม่รู้สึกสนิทใจกับใครมากพอมั้งครับ?

 

     จนถึงตอนนี้ เพื่อนที่ผมสนิทด้วยจริงๆ มากที่สุดและยังติดต่อกันบ่อยๆ จนถึงขั้นไปมาหาสู่กันก็มีแต่เมษเท่านั้นแหละครับ ก็จะให้คนอื่นมาที่คอนโดผมได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อผมอยู่กับพี่ชัช

 

     อย่างที่พวกคุณคิดน่ะแหละครับผมไม่ได้บอกใครเรื่องนั้น ผมยังถือคติที่ว่า เรื่องส่วนตัวของผมไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องบอกให้คนภายนอกรับรู้ ผมจึงไม่เคยบอกเรื่องพวกนั้นกับใครเลยแม้แต่น้อยทุกๆ เรื่อง ผมมีหน้าที่แค่มาเรียน แล้วก็เรียนให้จบก็พอครับ

 

     ก็ชีวิตของผมมันไม่ใช่ชีวิตที่น่าอวดหรือภาคภูมิใจพอที่จะเล่าให้ใครฟังได้สะดวกปากนี่ครับ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว หรือเรื่องง่ายๆ ที่ว่า “มีพี่น้องกี่คน” แค่คำถามชวนคุยง่ายๆ ผมก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว หรือคุณคิดว่าผมควรจะเล่าให้เพื่อนๆ ผมฟังครับว่าตอนนี้ผมอาศัยอยู่กับผู้ชายที่เป็นคนรักของผม และเขาก็เป็นคนให้เงินผมใช้อยู่ทุกๆ วันนี้ ทั้งค่ากินค่าอยู่ทุกๆ อย่าง นี่ยังดีนะครับที่ผมได้ทุน ถ้าพี่ชัชออกค่าเทอมให้ผมด้วย คุณคิดว่าคนอื่นที่รู้จะมองผมด้วยสายตาแบบไหนครับ?

 

     แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีสังคมหรือไร้เพื่อนไปซะทีเดียวหรอกนะครับ ไม่เอาแล้วล่ะเข็ดแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เลยมีบ้างที่ผมต้องทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น เหมือนเช่นที่ผมต้องทนเมย์อยู่อย่างตอนนี้ยังไงล่ะครับ ปกติเวลาที่ผมอยู่กับกลุ่มเพื่อน ส่วนใหญ่แล้วผมมักจะนั่งเงียบๆ ครับ ฟังเพื่อนๆ ผมคุยกัน ถ้าใครถามผมค่อยพูด ผมไม่ใช่คนประเภทเริ่มต้นสนทนาก่อน แล้วก็หาหัวข้อสนทนาไม่ค่อยเก่ง ยิ่งเมื่อผมจับกลุ่มอยู่กับเมย์ คุณคิดว่าผู้ชายเงียบๆ แบบผมจะพูดทันเธอเหรอครับ? อย่าหวังจะได้แทรก

 

     ในรุ่นผม พวกเรามีกันทั้งหมด 28 คนครับ แต่พอขึ้นปีสอง พวกเราที่เห็นนี่ดันเหลือกันแค่ 21 คน หายไป 7 ครับ อย่าให้ผมพูดเลยว่าที่หายไปนี่ย้ายไปเองด้วยความสมัครใจหรือหายไปแบบไปแล้วไปลับ แต่ก็เหลือผู้หญิงอยู่ 3 คนแหละครับ แล้วสามคนนั้นก็เป็นเพื่อนแก๊งค์เดียวกับผมและโอมมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยสิ

 

     พวกเราหกคนมีแต่คนเรียนเก่งครับ แต่โอมกับไปป์จะอ่อนที่สุดในกลุ่ม โอมนี่ค่อนข้างหัวช้าครับ ต้องอธิบายกันหลายรอบ แต่ข้อดีของโอมคือจำแม่น เพราะงั้น ถ้าอะไรที่โอมจำได้แล้วโอมไม่มีลืม เป็นพวกเรียนรู้ช้าแต่พื้นฐานแน่นสุดๆ ส่วนไปป์ เป็นพวกน่าหมั่นไส้ครับ โดดเรียนบ่อย ขยันหลับ แต่พลังฮึดเยอะ ชอบแสดงศักยภาพความเป็นอัจฉริยะเอาตอนสอบตลอดเลยครับ น่าหมั่นไส้จริงๆ ผมน่ะต้องกลับไปห้องแล้วอ่านหนังสือทบทวนทุกคืนนะครับ ส่วนเมย์กับผม เราขับเคี่ยวแย่งที่หนึ่งของภาคกันอยู่ครับ เพราะฉะนั้นผมถึงได้รู้สึกแย่มากๆ ที่เห็นเมย์ทำกิจกรรมเยอะแบบนั้นแล้วยังคะแนนสูสีกับผมได้อยู่ทั้งๆ ที่ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลย

 

     “เออ ต้น อาจารย์ต้นตระการเรียกแกอีกแล้วอ่ะ เมื่อกี้เราผ่านไปที่ห้องภาค แกบอกว่าให้มาบอกนายว่าให้ไปหาแกด้วย”

 

     เด็กเคมีที่ผมรู้จักคนนึงเดินมาทักผมครับ พอได้ยินแล้วผมที่กำลังปวดหัวกับคำสั่งของเมย์ก็ยิ่งเซ็งเข้าไปอีกขั้น

 

     “ทำไมจาร์ยต้นเรียกแกบ่อยจังวะ? ขนาดเด็กเคมียังไม่โดนเรียกบ่อยเท่าแกเลย”

 

     “ถามเราแล้วจะไปถามใครล่ะนิว”

 

     “เออ อย่าลืมไปหาจารย์แกด้วยนะเว้ย คราวที่แล้วแกก็ไม่ไป เราโดนจารย์ด่าเลย”

 

     “อย่าไปสนใจจารย์แกเลย”

 

     “ไม่ได้ย่ะ ที่ปรึกษาฉัน ไม่สนได้ที่ไหน”

 

     ผมยิ้มขำๆ ให้กับนิว แต่ก็โดนเสียงเซ็งๆ ของเมย์เบรคเข้าซะก่อน

 

     “คุยกันเสร็จรึยังย่ะ ฉันจะได้คุยกับแฟนฉันต่อ”

 

     วงแตกสิครับ เมย์ชอบใช้มุขนี้กับผมตลอดเลยไม่รู้ทำไม

 

     “อีกแล้วนะเมย์”

 

     “ก็ต้นไม่ยอมฟังเราอ่ะ”

 

     “ก็อาจารย์เรียก ... เอาเถอะ ต่อสิเราฟังอยู่”

 

     แล้วผมก็ต้องนั่งฟังเมย์พูดอีกราวๆ สิบนาทีครับ จนกระทั่งเสร็จ ผมเตรียมตัวจะกลับบ้างแล้วเหมือนกัน เพราะพี่ชัชรอผมอยู่ พี่ชัชส่งเมสเซสมาบอกว่านั่งรอผมอยู่ที่ร้านกาแฟในสยามตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วละครับ ผมว่าพี่ชัชไปนั่งเล่นเน็ทฟรีมากกว่า กาแฟอะไรก็ไม่รู้แก้วเป็นร้อย คนเราก็ยังไปนั่งทานกันอยู่ได้

 

     แต่พอผมกำลังจะเดินออกมาผมก็เห็นโอมนั่งรออยู่ครับ

 

     “อ้าว ยังไม่กลับเหรอโอม”

 

     “เรารอต้นอยู่น่ะ”

 

     “มีธุระอะไรรึเปล่า?”

 

     “เปล่า เราว่าจะชวนต้นไปดูหนัง”

 

     “โทษทีนะ วันนี้เราไม่ว่างอ่ะ”

 

     “อ้าวเหรอ”

 

     โอมทำหน้าเสียดายนิดหน่อย อย่างที่บอกครับ โอมไม่ใช่แม็กซ์

 

     “งั้นต้นจะกลับเลยมั้ย จะได้กลับด้วยกันเลย”

 

     โอมถามแบบนั้นเพราะผมกับโอมมักจะเดินกลับด้วยกันบ่อยๆ ครับ ผมเดินไปขึ้น BTS ส่วนโอมก็นั่งรถเมล์หน้าสนามกีฬา แต่วันนี้คงไม่ได้เดินกลับด้วยกันหรอกครับเพราะผมต้องไปหาพี่ชัช

 

     “ไม่ดีกว่ามั้ง พอดีเรามีนัดที่สยามอ่ะ”

 

     “อ้าว งั้นเหรอ”

 

     ผมเห็นโอมทำหน้าเสียดายซ้ำสอง และสังเกตุเห็นถึงความสงสัยในแววตาของโอมด้วย แต่มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมต้องบอกโอมนี่ครับ ผมก็เลยเงียบๆ ไม่พูดอะไร ผมเดินเลี่ยงออกมาเพื่อไปหาพี่ชัช แต่แล้วโอมก็ตามมาด้วย ผมเลยหันไปมอง

 

     “สยามกับสนามกีฬาก็ใกล้ๆ กันแหละ ไปด้วยกันก่อนก็ได้”

 

     โอมพูดแล้วก็ยิ้มให้ผม เฮ้อ... เจอแบบนี้ผมอึดอัดนะครับ ไม่ชอบเลยครับเวลาที่โอมตามติดผมจนไม่เหลือระยะห่างแบบนี้ ผมเองก็ปฏิเสธโอมไม่ได้ด้วย เพราะโอมไม่เคย “พูด” อะไรกับผมมาตรงๆ ถ้าโอมทำเหมือนคนอื่นๆ ผมยังจะพอตอบปฏิเสธไปตรงๆ ได้ ผมรู้ดีว่าโอมกลัวอะไร ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น แต่ถึงโอมจะขี้ขลาดจนไม่กล้าพูดออกมา แต่วิธีการที่โอมใช้นี่ต่างกับผมลิบลับเลยครับ

 

     และแล้ว ผมกับโอมเดินมาด้วยกันจนถึงสยาม

 

     “ต้นนัดเพื่อนไว้ตรงไหนของสยามเหรอ?”

 

     “โอม เราไม่ได้นัดเพื่อน เรานัดแฟนไว้” ผมอยากจะบอกโอมแบบนั้น แต่ผมก็พูดออกไปไม่ได้ ใช่ว่าผมอายที่ตัวเองเป็นเกย์ ผมยอมรับความจริงได้ว่าผมชอบผู้ชาย แต่เชื่อเถอะครับ อย่าให้ผมเปิดตัวที่มหาวิทยาลัยเลยดีกว่า คือ... ผมไม่ค่อยสะดวกใจเท่าไหร่ ผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับผม และการที่ผมไม่แสดงออกแบบนี้มันก็ช่วยปิดโอกาสโอมไปด้วยในทางหนึ่ง หรือผมควรจะให้โอมรู้ความจริงไปเลยดีกว่า? อย่างน้อยๆ โอมจะได้ตัดใจ

 

     “ที่บ้านเรามารับน่ะ นัดกันที่ร้านกาแฟ”

 

     พอได้ยินแบบนั้นโอมก็มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่านะโอม... ที่บ้านที่ผมพูดนี่ ผมหมายถึงแฟนที่ผมอาศัยอยู่ด้วยนะ ถึงพี่ชัชจะเป็นผู้ปกครองผมอยู่กลายๆ ก็เถอะ

 

     เพราะนอกจากค่าเทอมแล้ว ทุกอย่างพี่ชัชเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้ผมเกือบทั้งหมดเลย ยกเว้นของบางอย่างนะครับ ถ้ามันแพงมากๆ ผมก็จะเจียดเงินในบัญชีไปซื้อเอง ถึงผมจะหาคนมาเช่าห้องได้ก็เถอะ รวมกับเงินที่แม่ใส่เข้ามาในบัญชีแต่ละเดือนมันก็พอประมาณหนึ่ง แต่ผมไม่คิดจะเรียนแค่ปริญญาตรีหรอกนะครับ เพราะฉะนั้นผมเลยอยากจะเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้เป็นทุนสำหรับต่อโทมากกว่า แล้วก็เพราะผมไม่ได้ทำงานพิเศษอะไร ผมก็เลยไม่มีรายได้ตรงอื่นอีก ผมไม่ว่างพอจะไปทำงานพิเศษรายชั่วโมงได้แบบนั้นนี่ครับ คุณคิดว่าที่ผมกลับบ้านเร็วนี่เพื่อไปทำกับข้าวรอพี่ชัชอย่างเดียวหรือไง นอกจากที่ผมจะต้องทำงานบ้านทุกอย่างแล้ว ผมก็ต้องแบ่งเวลาไว้อ่านหนังสือด้วยนะครับ ความเก่งของผมไม่ได้มีที่มาง่ายๆ ด้วยพลังฮึดหน้าห้องสอบแบบไปป์นะครับ ผมต้องลำบากอ่านหนังสือแทบตาย

 

     “เหรอ งั้นเราเดินไปเป็นเพื่อนนะ”

 

     ผมไม่พูดอะไรนอกยิ้มให้โอม เราสองคนเดินไปเงียบๆ เพราะผมไม่ใช่คนพูดมาก และโอมก็ไม่ใช่คนช่างพูด ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมโอมถึงเลือกผม เพราะผมไม่เคยปฏิบัติต่อโอมเป็นพิเศษนอกเหนือไปกว่าคำว่า “เพื่อน” ผมไม่เคยทอดสะพานให้โอมเหมือนที่เคยทำกับแม็กซ์

 

     ระดับความสนิทที่ผมมีให้ถึงแม้ว่าผมจะไปไหนมาไหนกับโอมบ่อยๆ แต่มันก็น้อยกว่าที่ผมมีกับเมษด้วยซ้ำ ถ้าคุณเห็นเวลาที่ผมอยู่กับเมษแล้วคุณคงตกใจ ผมเองยังตกใจเลยครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าผมจะคุยเก่งได้ขนาดนั้น อาจจะเพราะเมษคุยสนุกมั้งครับ แล้วผมก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องระวังตัวเวลาที่อยู่กับเมษ ผมจึงสบายใจแล้วสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง

 

     ถ้าจะบอกว่าโอมชอบผมที่หน้าตา ผมก็มั่นใจว่าผมไม่ได้หน้าตาดีถึงขนาดนั้น แม้แต่ในคณะเองก็มีคนที่หล่อกว่าผมอยู่ตั้งเยอะ ผมไม่ใช่คนที่ดูหล่อแบบแมนๆ ที่สุด ผมไม่ได้สูงหุ่นนักกีฬาแบบละลายใจเก้งกวางพวกนั้น ถ้าผมรูปร่างหน้าตาเหมือนพี่ชัชก็ว่าไปอย่าง เฮอะ! พวกหล่อเลือกได้

 

     แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่หน้าตาน่ารักแบบไปป์ด้วย ผมยังยอมรับเลยครับว่าไปป์น่ารักมากๆ เวลายิ้มมีลักยิ้มด้วย เพราะหน้าตาน่ารักๆ กับนิสัยเด็กๆ เพื่อนๆ ในกลุ่มพวกผมถึงได้เอ็นดูไปป์มาก ผมเองก็ชอบไปป์ครับ เวลาอยู่ใกล้ๆ แล้วทำให้ผมอารมณ์ดีไปด้วย แค่นั่งฟังไปป์คุยผมก็สนุกแล้ว

 

     เพราะฉะนั้นผมถึงได้งงว่า โอมชอบผมที่ตรงไหน เพราะผมก็เป็นแค่ผู้ชายปกติธรรมดาๆ คนนึงที่หน้าตาธรรมดา ไม่มีตากลมโตหรือขนตายาวหนาเป็นแพแบบพิมพ์นิยมจนใช้คำว่าน่ารักมาบรรยายได้ จมูกก็ไม่ได้โด่งมาก ริมฝีปากธรรมดาๆ รูปหน้าตามปกติ ไม่ได้มีคางเรียวๆ แบบดาราเกาหลี พูดได้ว่าในตัวผมไม่มีอะไรที่ดูดีถึงขั้นที่เรียกว่า “หล่อ” ได้เลย แล้วโอมสนใจผมตรงไหนกัน?

 

      โอมเป็นคนที่เงียบๆ คล้ายๆ ผมครับ เราตัวเท่าๆ กันเลย แต่โอมน่าจะสูงราวๆ 170 เพราะผมสูงกว่าเขานิดหน่อย ผมสูงแค่ 171.5 เซ็นติเมตรเอง เรื่องนี้ต้องโทษพี่ชัชเลยครับ แต่ถึงโอมจะเตี้ยกว่าผมหน่อยนึงแต่ผมว่าเผลอๆ โอมยังหน้าตาดูดีกว่าผมอีกนะครับ อย่างน้อยๆ โอมก็ตาโตกว่าผม จมูกโด่งกว่าผม เวลายิ้มปากก็น่ารักกว่าผม ผมคิดอยู่เสมอว่าริมฝีปากของผมมันบางไป ไม่ชอบเลยครับ เหมือนผู้ชายคนนั้น ผมน่าจะได้ปากแบบคุณแม่ของผมมา พี่ชัชชมอยู่บ่อยๆ ว่าแม่ของผมสวยมาก โดยเฉพาะปากที่อิ่มเต็มรับกับรูปหน้าดูเซ็กซี่

 

     ใครๆ ก็บอกว่าผมหน้าคล้ายคุณแม่ น่าจะเหมือนกันให้หมดทั้งหน้านะครับ ผมไม่อยากมีส่วนใดส่วนหนึ่งเหมือนกับคนๆ นั้นเลย กลัวคนอื่นจะนึกสงสัย และเพราะแบบนั้น ตอนที่พี่ชัชเห็นผมคร่ำเคร่งอ่านหนังสือ แล้วชอบนิ่วหน้าขมวดคิ้วบ่อยๆ เลยพาผมไปวัดสายตา ปรากฏออกมาว่าผมสั้น 120 ครับ จะไม่ใส่ก็ได้ ใส่เป็นคอนแทคเลนส์ก็ได้ แต่ผมก็เลือกที่จะใส่แว่นสายตาครับ ผมเลือกแว่นแบบเรียบๆ กรอบสีดำเพราะไม่อยากให้ตัวเองดูเด่นเป็นจุดสนใจของใคร

 

     แต่แล้วมันก็อยู่กับผมไม่ได้นาน หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้แปปเดียว แว่นผมก็พังครับ มีอันจากไปทั้งๆ ที่ผมพึ่งใช้ได้แค่ 2 เดือน แต่ก็ดีนะครับ ที่คนที่ทำมันพังเขารับผิดชอบพาผมไปตัดแว่นใหม่ ไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกแย่กว่านี้ที่รักษาของที่พี่ชัชซื้อให้ไม่ได้

 

     เราเดินกันไปจนถึงร้านกาแฟครับ ผมมองหาพี่ชัชได้ไม่ยาก ผู้ชายแบบพี่ชัช อยู่ที่ไหนก็เป็นจุดเด่นเสมอ ลำพังแค่รูปร่างหน้าตาก็มีมากพอจะเป็นจุดสนใจให้ใครต่อใครเหลียวหลังได้แล้ว แล้วยิ่งนิสัยอีกบางทีก็เด่นเกินไปจริงๆ ครับ แต่ผู้หญิงที่นั่งหัวเราะต่อกระซิกกับแฟนผมอยู่นี่สิ แขกไม่ได้รับเชิญเหรอครับ?

 

     ผมพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองแล้วเดินไปทักพี่ชัช พี่ชัชที่พึ่งหันมาเห็นผมมีแอบผงะเล็กน้อย ผมยิ้มเย็นๆ ให้พี่ชัชทันทีครับ

 

     “อ้าวต้นมาแล้วเหรอ เอ่อนี่... พาใครมาด้วยน่ะต้น!”

 

     พี่ชัชที่ตอนแรกทำท่าเหมือนอ้ำๆ อึ้งๆ คิดไม่ตก แต่พอเห็นโอมที่เดินมากับผมก็เสียงเข้มขึ้นทันทีแบบนี้ดูแล้วน่ารักดีนะครับ หวงก้างชัดๆ

 

     เห็นแบบนี้แล้วผมก็ค่อยสบายใจหน่อยละครับ อย่างน้อยๆ พี่ชัชก็สนใจหึงผมมากว่ากังวลเรื่องผู้หญิงที่นั่งด้วยกัน ว่าแต่ ผู้หญิงคนนั้นจะนั่งลอยหน้าลอยตาอีกนานมั้ยครับ โต๊ะมันนั่งได้แค่ 2 ที่เท่านั้นนะครับ ผมพยายามเก็บอารมณ์แล้วยกมือไหว้สวัสดีคนทั้งสอง

 

     “สวัสดีครับ พี่ชัชครับ นี่โอม เพื่อนผมที่คณะครับ”

 

     โอมสวัสดีพี่ชัชตามผม แล้วก็ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ คงเพราะหน้าซื่อๆ บุคลิคใสๆ ของโอมนี่แหละ ที่ทำให้พี่ชัชคลายการ์ดลง พี่ชัชยกมือรับไหว้โอม แล้วก็ทักทายโอมนิดหน่อย แต่พอเห็นผมปรายตายิ้มเย็นๆ ก็เลยรีบพูดขึ้นทันที

 

     “เออต้น นี่เพื่อนพี่ ชื่อพี่น้ำตาล พอดีมาเจอกันแถวนี้เลยนั่งคุยกันนิดหน่อย ต้นรีบรึเปล่า?”

 

     “ไม่หรอกครับ”

 

     “รอพี่แปปนึงได้มั้ยครับ พอดีพี่ยังมีเรื่องที่คุยค้างไว้กับเพื่อนนิดหน่อย นะต้นนะ”

 

     พอเห็นพี่ชัชกล้าใช้น้ำเสียงออดอ้อนผมต่อหน้ากันแบบนี้ผมก็อารมณ์ดีละครับ ผมเหลือบตาไปมองผู้หญิงคนนั้นนิดหน่อยอย่างผู้ชนะ แอบเห็นเธอหน้าเสียไปเหมือนกันครับ แต่ช่างเถอะ ผมอารมณ์ดีแล้ว

 

     “ครับ”

 

     “เออ หาไรกินรอพี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วเพื่อนเราละ น้องกินไรมั้ยครับเดี๋ยวพี่เลี้ยง?”

 

     จริงด้วย ผมลืมไปซะสนิทเลย ผมหันไปมองโอมที่ยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่ ถึงแม้แฟนผมจะอัธยาศัยดี แต่ผมว่าโอมคงไม่สะดวกใจ โอมน่าจะเดาได้แล้วนะครับว่าอะไรเป็นอะไร

 

     “เอ่อ... งั้นเรากลับก่อนแล้วกัน ไว้พรุ่งนี้เจอกันที่มอนะ”

 

     “อืม”

 

     โอมยกมือบ๊ายบายผมแล้วก็กลับไปครับ ทีนี้ก็เหลือแต่ผมกับแฟนและส่วนเกิน ผมก็เลยยื่นมือไปตรงหน้าพี่ชัชแล้วก็แบมือออก ทำตามปกติเหมือนเวลาที่ผมทำกับพี่ชัชบ่อยๆ

 

     “เอาอะไรเพิ่มมั้ยครับ? ในแก้วพี่ชัชละลายเกือบหมดแล้ว?”

 

     ผมถามแบบนี้เพราะพี่ชัชชอบทานกาแฟเย็นครับ พี่ชัชไม่ชอบกาแฟร้อน ถ้าจะนั่งแช่ร้านแนวๆ นี้ พี่ชัชสั่งกาแฟเย็นตลอด แล้วมันก็มักจะละลายเร็วกว่าที่พี่ชัชทานเสมอ พี่ชัชเหลือบมองในแก้วตัวเองแล้วส่ายหน้าให้ผม

 

     “ไม่อ่ะต้น เดี๋ยวคืนนี้พี่นอนไม่หลับ”

 

     พี่ชัชหยิบกระเป๋าเงินส่งให้ผมทั้งใบแล้วก็หันไปคุยกับ “เพื่อน” ต่อ เห็นแบบนี้น่าจะรู้ตัวแล้วก็ลุกออกไปซักทีสิครับ ยัยผู้หญิงหน้าด้านเอ้ย!

 

     อย่าหาว่าผมมารยาทแย่เลยนะครับ แต่ผมได้ยินแว่วๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นถามพี่ชัชเหมือนกันว่าผมเป็นใคร แต่เพราะผมเดินไปซื้อโกโก้ที่เคาท์เตอร์ซะก่อน เลยไม่ได้ยินว่าพี่ชัชตอบว่าอะไร ผมซื้อเสร็จก็เดินไปนั่งโต๊ะเดียวกัน โดยนั่งเก้าอี้ตัวที่พี่ชัชลากเก้าอี้จากโต๊ะตัวข้างๆ มารอไว้ให้ แถมยังวางตำแหน่งไว้ข้างๆ พี่ชัชอีกด้วยครับ แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อยแฟนผม

 

     ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยตรงมุมปาก ก็พี่ชัชอุตส่าเทคแคร์ผมถึงขนาดนี้เชียวนี่ครับ

 

     ผมทำเป็นไม่สนใจหยิบหนังสือออกมาอ่านรอระหว่างที่พวกเขาคุยกัน แต่หูผมแอบฟังอยู่ตลอดแหละครับ เรื่องส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องงาน เขตนั้นเขตนี้เป็นยังไงบ้าง อัพเดทข่าวคราวหมอกับผู้แทนคนอื่นๆ ได้ยินแบบนี้ผมค่อยวางใจหน่อย แต่ก็ไม่มากหรอกนะครับ ถึงแฟนของผมจะ “ปกติ” ไม่ได้อยู่ในระดับ “หลี” แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เล่นๆ เลย “อ่อย” แฟนผมอยู่ตลอดเวลา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงฉุนๆ นั่นก็น่าหมั่นไส้ที่สุดเลยครับ ผมจำได้ว่ามันเป็นกลิ่นเดียวกับที่พี่ฟ่างเคยใช้ แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่ผมได้กลิ่นจากตัวพี่ฟ่างผมว่ากลิ่นแนวดอกไม้พวกนั้นมันหอมมากๆ แต่พอเป็นกลิ่นที่ออกมาจากตัวผู้หญิงคนนี้แล้วมันน่าสะอิดสะเอียนครับ ดูตอแหลชะมัด!

 

     ผมแกล้งทำเป็นนั่งสนใจเนื้อหาในหนังสือที่ผมอ่านอยู่ แต่ทว่าผมไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย ในหัวผมเต็มไปด้วยถ้อยคำสาปแช่งยัยนี่มากพอที่จะเขียนลงเต็มหน้ากระดาษ A4 แล้วครับ เมื่อไหร่จะอ่อยแฟนผมเสร็จซักที! 

 

     “อ๊ะ แย่ละ ป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ชัช น้ำตาลขอตัวก่อนนะ”

 

     “อื้อ ไม่เป็นไรหรอก ชัชเองก็ชวนคุยซะเพลินเลย โทษที”

 

     “นั่นสิ เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไว้วันหลังเราไปหาอะไรอร่อยๆ ทานมั้ยล่ะ จะได้รำลึกความหลังกันต่อไง”

 

     ถ้าคุณเคยได้ยินเรื่องที่ว่ามีผู้แทนบางคนยอมนอนกับหมอเพื่อยอดขายของตัวเอง ผมคิดว่าต้องเป็นผู้หญิงประเภทนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ อย่าหาว่าผมดูถูกผู้หญิงเลย แต่ท่าทางของเธอมันชวนให้ผมนึกรังเกียจจริงๆ นี่นา ผมนึกเปรียบเทียบเธอกับแม่ของผมทันที อย่างน้อยๆ แม่ผมก็ไม่ใช่คนชอบเช็คเรทติ้งขนาดนี้

 

     “ไว้ว่างๆ แล้วกัน ช่วงนี้ชัชยุ่ง”

 

     “แหม ชัชก็ยุ่งตลอดแหละ ไปละ บายจ้ะ”

 

     ว่าแล้วเธอก็ออกไปครับ ตลอดเวลานั้นเธอไม่ทักทายผมซักคำ ผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดกับเธอ พอเธอออกไปแล้วพี่ชัชก็หันมาทางผมทันที มือใหญ่ๆ นั่นเล่นหัวผมอีกแล้ว

 

     “หึงรึเปล่าน่ะเรา?”

 

     ผมนึกว่าพี่ชัชจะพูดว่าอะไรเป็นประโยคแรกหลังจากอยู่ด้วยกันสองคน จะทำไม่รู้ไม่ชี้ หรือเปลี่ยนเรื่อง หรือรีบอธิบายเพราะกลัวผมจะเข้าใจผิด แต่พี่ชัชของผม หวานเสมอครับ เจอแบบนี้ไปก็เขินนะครับ ให้พี่ชัชรีบแก้ตัวมาเลยยังจะน่าอายน้อยกว่าอีก

 

     “ก็เพื่อนไม่ใช่เหรอครับ”

 

     “อืม เหมือนที่คนเมื่อกี้ก็เพื่อนต้นไง”

 

     “ผมไม่ได้คิดอะไรกับโอม”

 

     “พี่รู้”

 

     ทีแบบนี้ละก็ ยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว ผมเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ที่สุดเลยครับ รอยยิ้มที่เบื้องหลังความขี้เล่นนั้นมีความเจ้าเล่ห์แฝงไว้ ไหนจะยังสายตาที่เป็นประกายนั่นอีก เพราะรอยยิ้มแบบนี้มันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น แล้วก็พาลทำให้ผมหน้าแดงด้วย เอาเป็นว่าผมเกลียดก็แล้วกันครับ เขินจัง...

 

     “เย็นนี้กินข้าวนอกบ้านกันมั้ย ไม่ได้มาแถวนี้ตั้งนาน มีไรอร่อยๆ มั่งอ่ะ แนะนำพี่หน่อยสิ”

 

     “แพงจะตาย กลับไปทานที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

 

     “ไม่เอาอ่ะ สงสารเมีย เมื่อเช้าก็เหนื่อยอุ่นไส้กรอกให้พี่แล้ว ไม่อยากให้ต้องเหนื่อยทำกับข้าวอีก”

 

     พี่ชัชบ้า จะพูดขึ้นมาทำไมอีกก็ไม่รู้ ผมเขินจนไม่รู้จะตอบอะไรแล้วครับ เลิกจ้องผมไปยิ้มไปซะทีเถอะ ผมอายคนแถวนี้จะแย่

 

     “งั้นอยากทานอะไรก็ตามใจเถอะครับ แล้วแต่พี่ชัชเถอะ”

 

     “งั้นไปพาราก้อนกัน อยากไปเปิดหูเปิดตา”

 

     ผมจะทำอะไรได้นอกจากปล่อยให้พี่ชัชจูงมือผมเดินข้ามฝั่งไปละครับ เชื่อเค้าเลย กล้าเดินจูงมือผมต่อหน้าคนอื่นด้วย ขนาดคนอื่นมองกันเต็มแต่ผู้ชายหน้าหนาอย่างพี่ชัชก็ไม่หวั่นครับ เดินจูงมือผมสบายอารมณ์ พี่ชัชไม่อายแต่ผมอาย อย่างน้อยๆ ผมก็ยังผูกไทด์ที่มีตรามหาลัยติดอยู่นะครับ

 

     แต่นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าแฟนของผมหวานมากๆ เลยละครับ พี่ชัชไม่ใช่คนโรแมนติก แต่เป็นคนที่มักจะทำอะไรหวานๆ ให้กับคนที่ตัวเองรักตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว เพราะธรรมชาติของพี่ชัชที่เป็นคนชอบเทคแคร์คนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งเวลาอยู่กับคนรัก พี่ชัชยิ่งแสดงออกทุกอย่างโดยไม่มีขัดเขินเลยแม้แต่น้อย

 

     เพราะแบบนี้แหละครับ ที่ทำให้ผมคิดว่าข้อดีของพี่ชัชมีมากกว่าข้อเสีย ก็ต่อให้ผมกำลังเซ็งอะไรอยู่ก็เถอะ เจอลูกอ้อนของพี่ชัชแบบนี้เข้าไป ผมก็จะเขินจนหัวใจเต้นโครมครามลืมไอ้ที่กำลังโกรธอยู่หมดน่ะแหละครับ ก็ใครใช้ให้แฟนผมน่ารักขนาดนี้กันเล่า

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

 

The story after that. - ต้นน้ำ

  • Facebook Classic

FOLLOW ME

bottom of page