top of page

     ผมเปิดเทอมได้เดือนกว่าแล้วครับ ช่วงรับน้องก็ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ผมได้น้องรหัสเป็นผู้หญิงครับ ชื่อน้องลูกเต๋า น่ารักมากๆ แต่เสียอยู่อย่าง น้องรหัสผมค่อนข้างจะออกตัวแรงพอสมควร พอมานึกๆ ดูแล้ว ในบรรดาผู้หญิงทุกคนที่ผมรู้จักมา ผมชอบไนน์มากที่สุดอยู่ดีแหละครับ เพราะไนน์มักจะเว้นที่ว่างให้ผมเสมอๆ ทำให้ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจมากกว่า ผมชอบอยู่กับคนที่เว้นระยะให้ผมแล้วก็ไม่ทำให้ผมอึดอัด

 

     น้องลูกเต๋าเธอเปิดตัวว่าจีบผมตั้งแต่ที่รู้ว่าผมเป็นพี่รหัสเธอ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนรอบข้าง ท่ามกลางแหล่งข่าวที่เม้าท์กันว่า “ผมเป็นเกย์” แต่เธอก็ไม่แคร์ เธอเถียงขาดใจครับ เถียงแทนพี่รหัสของเธอว่า ยังไม่มีใครเคยได้ยินผมพูดออกจากปากตัวเองว่าผมเป็นเกย์แน่ๆ รึเปล่า ที่พูดกันว่าผมเป็นเกย์ก็เพราะผมมักจะมีผู้ชายมาจีบออกหน้าออกตาก็แค่นั้น เพราะส่วนใหญ่คณะของผมผู้หญิงน้อยอยู่แล้ว และเมย์ก็ชอบพูดเองเออเองว่าผมเป็นแฟนเมย์ด้วย เลยทำให้ผู้หญิงคนอื่นๆ ไม่กล้ามาจีบผม ผมนั่งฟังแล้วก็ขำดีนะครับ น้องลูกเต๋าเธอเถียงวกไปวนมาจริงๆ ผมควรจะบอกเธอดีรึเปล่าว่าผมมีแฟนแล้ว

 

     ส่วนผมกับโอม เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมครับ โอมไม่แม้แต่จะถามผมว่าผู้ชายคนที่มารับผมเป็นใคร โชคดีที่เราอยู่กันคนละชมรม เพราะว่าผมถูกคนรู้จักลากไปเข้าชมรมเดียวกันกับเขาซะงั้น

 

     ความจริงแล้ววันนั้นผมนัดกับโอมไว้ว่าจะเข้าชมรมที่รุ่นพี่ในคณะอยู่ด้วยกัน แต่โชคร้ายที่ผมไปแล้วหากันไม่เจอ ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยรู้จักที่ทางในมหาลัย แล้วก็เพราะคนเยอะมากๆ เสียงดังด้วยครับ ผมที่ยืนหันรีหันขวางไม่รู้จะไปทางไหนดี กำลังยืนรอโอมจู่ๆ ก็เจอเข้ากับอาร์ม

 

     ผมเล่าให้พวกคุณฟังแล้วรึยังครับว่าอาร์มสอบติดที่นี่ด้วย อยู่วิศวะ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าอาร์มจะสอบเข้าวิศวะจุฬาได้ คือไงดีละ ... เสียความรู้สึกมั้งครับ เพราะอาร์มมักจะนั่งหลังห้องมาตลอดสามปีที่ผ่านมา แล้วก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนด้วย แล้วคะแนนวิศวะก็สูงกว่าคณะวิยาฯของผมด้วยครับ ถึงอย่างนั้นอาร์มก็ยัง... แต่ก็เอาเถอะครับ ใช่ว่าผมอยากเข้าวิศวะซะหน่อย

 

     วันนั้นผมเจอเข้ากับอาร์มครับ พออาร์มเห็นผมยืนอยู่คนเดียวก็ลากผมไปด้วยเฉยเลย คงนึกว่าผมทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะไปไหนมั้งครับ อาร์มคงพอรู้นิสัยผมบ้าง เพราะเราเรียนที่เดียวกันมา แต่ถึงยังไงอาร์มก็ยังคงเป็นอาร์ม กว่าผมจะบอกอาร์มได้ว่าผมกำลังรอเพื่อนอยู่ อาร์มก็จับผมเซ็นชื่อเข้าชมรมเดียวกันไปแล้ว ชมรมที่ทั้งชมรมเกือบจะมีแต่เด็กวิศวะคณะเดียวกับอาร์ม แถมพอผมจะขอเอาชื่อออก รุ่นพี่ของอาร์มก็ทำท่าจะดุอาร์มด้วยซ้ำงั้น โทษฐานพาคนมามั่วไม่ดูตาม้าตาเรือ ผมก็เลยต้องเลยตามเลยครับ เพราะอยู่กับอาร์มก็ไม่ได้แย่มากไหร่

 

     แล้วหลังจากนั้นผมก็เลยสนิทกับอาร์มมากขึ้นด้วย อาร์มใจดีกับผมเหมือนเดิม ไม่สิครับ อาร์มใจดีกับเพื่อนทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีพิษมีภัยกับใคร จะบอกว่าผมเอานิสัยหลบหลังคนอื่นมาใช้อีกก็ได้มั้งครับ ผมขี้เกียจคิด การอยู่กับอาร์มมันไม่ได้อึดอัดนี่ครับ ว่ากันตามตรงนอกจากนิสัยอ่านบรรยากาศไม่ออกของอาร์มแล้ว อย่างอื่นๆ อาร์มถือว่าเป็นคนดีคนนึงเลยนะครับ นิสัยน่ารักแล้วก็คบง่ายคุยสนุกด้วย อาร์มชวนผมเข้าชมรมดนตรีด้วยกัน ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง เพราะชมรมดนตรีเล็กๆ นี้ก็ถือว่าสบายดีครับ ไม่อึดอัดดี

 

     เพราะฉะนั้น บางเวลาที่ผมอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวจากโอม ผมก็เลยเลือกที่จะมานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ที่ห้องชมรม และผมก็มักจะเจอกับอาร์มที่นี่บ่อยๆ เหมือนอย่างเวลานี้ ผมเห็นอาร์มเดินยิ้มมาในระยะ 100 เมตรเลยครับ คนอะไรอารมณ์ดีจริงๆ

 

     “น้องต้นอ่ะ ไม่ได้ฟังพี่เลยอ่ะ”

 

     “ขอโทษครับ ผมใจลอยไปหน่อย”

 

     “แหม ใจลอยไปไหนครับ พี่ก็นั่งอยู่ตรงหน้าน้องต้นนี่ไง”

 

     ผมเซ็งนะครับ แต่แสดงออกมากไม่ได้ เขาเป็นรุ่นพี่ของอาร์ม อายุมากกว่าผม เป็นคนที่ผมต้องเคารพความอาวุโสของเขา แม้ว่าใจจริงแล้วผมจะรำคาญมุขจีบน้ำเน่าๆ ของเขามากก็ตาม

 

     “เมื่อกี้พี่บอมพูดว่าอะไรนะครับ”

 

     “พี่ชวนน้องต้นไปดูหนังครับ เนี่ยนัดกับเพื่อนไว้แล้วโดนเพื่อนเบี้ยว พี่ไม่อยากไปดูหนังคนเดียว น้องต้นไปกับพี่หน่อยนะ”

 

     “ผมไม่ว่างครับ”

 

     “โห ไม่ว่างไรอ่ะ ก็แค่นั่งอ่านหนังสือเฉยๆ เอง ไปดูหนังกับพี่ดีกว่าน่า”

 

     ผมควรจะตอกหน้าเขากลับไปดีมั้ยครับว่า “การอ่านหนังสือ” นี่แหละที่ทำให้ผมไม่ว่าง แต่พูดได้ซะที่ไหน ผมทำได้แค่ถอนหายใจเซ็งๆ เท่านั้นแหละครับ

 

     “เซ้าซี้เพื่อนผมอีกแล้วพี่บอม ต้นมันไม่ชอบผู้ชายเซ้าซี้หรอกพี่”

 

     นั่นไงอาร์ม พูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว นายบอกเฉยๆ ก็ได้นะว่าเราไม่ชอบคนเซ้าซี้ ไม่ต้องใส่คำว่า “ผู้ชาย” มาให้พี่บอมมีหวังก็ได้

 

     “หวัดดีอาร์ม”

 

     “ดีต้น”

 

     ผมรู้สึกว่าวันนี้อาร์มดูลอกแลกผิดปกติ เหมือนมีอะไรอยากจะพูดกับผมซักอย่าง ไม่รู้จะเกี่ยวกับเรื่องนั้นรึเปล่า แต่เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะพูดคุยตอนที่มีพี่บอมอยู่ข้างๆ

 

     “ต้นได้ติดต่อกับเพื่อนเก่าบ้างป่า”

 

     “อาร์ม ไหนนายบอกจะเลี้ยงน้ำปั่นเราไง”

 

     ผมเห็นอาร์มทำหน้างงๆ แล้วก็ยืนเอ๋อๆ ครับ ให้ตายเหอะ เข้าใจอะไรยากจริง

 

     “นายบอกว่าจะเลี้ยงน้ำเราตอบแทนที่เราช่วยติวให้นายเทอมที่แล้วไง”

 

     ผมบอก แต่ปรับจากความจริงนิดหน่อยที่ว่าอาร์มเลี้ยงผมไปตั้งแต่ตอนปีหนึ่งแล้วเรียบร้อยเป็นสัญญายืดเยื้อครับ แล้วก็ลากแขนอาร์มออกไปทันที

 

     แต่อาร์มก็ยังคงเป็นอาร์ม ที่น่ารักและซื่อจนเซ่อในบางครั้ง เพราะอาร์มเลี้ยงน้ำผมจริงๆ แล้วอาร์มในตอนนี้ก็กำลังยืนดูดน้ำปั่นโดยลืมเรื่องที่ตัวเองพูดค้างไว้ซะสนิท ให้ตายเถอะ ผมต้องเริ่มก่อนจริงๆ เหรอเนี่ย

 

     “มีเรื่องอะไรจะพูดกับเราเหรอ?”

 

     “อ้าว ก็เห็นต้นตัดบท เลยนึกว่าไม่อยากให้พูด”

 

     ผมกลอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่าย ให้ตายเหอะ อ่านบรรยากาศให้ถูกจังหวะหน่อยเถอะอาร์ม

 

     “ก็ตอนนั้นมีพี่บอมอยู่ด้วย เราไม่อยากคุยอะไรต่อหน้าพี่บอม”

 

     “ถามจริงเถอะ ทำไมต้นไม่ปฏิเสธพี่บอมไปตรงๆ ล่ะ”

 

     “แล้วคิดว่าเราไม่ปฏิเสธรึไง นายเห็นเราเคยตอบโอเคกับพี่เขามั้ยล่ะ”

 

     “ก็บอกไปเลยดิ่ว่านายมีแฟนแล้ว”

 

     “แล้วถ้าพี่บอมถามว่าแฟนเราเป็นใครละจะให้เราตอบว่ายังไง”

 

     ใช่ว่าผมไม่เคยคิด ผมรำคาญและอยากจะให้พี่บอมเลิกยุ่งกับผมจะตายอยู่แล้วครับ แต่ที่ผมไม่เคยออกตัวว่าผมมีแฟนมาก่อนก็เพราะ... ถ้าผมพูดว่ามีแฟนแล้ว คนอื่นๆ ก็ต้องถามอีกอยู่ดี คำถามจำพวกที่ว่า แฟนผมเป็นใครมาจากไหน เรียนที่เดียวกันหรือต่างมหาลัย เพื่อนสมัยเรียนเหรอ และอื่นๆ จะให้ผมพูดออกไปได้ยังไงละครับ ว่าผมคบคนแก่กว่า ทำงานแล้ว ถ้าผมพูดไปแบบนั้น ภาพพจน์ของผมจะเหลืออะไรล่ะครับ? ผู้ชายที่ยังเรียนคบกันกับผู้หญิงที่แก่กว่าและทำงานแล้ว

 

     ผมไม่แคร์เรื่องที่คนอื่นจะรู้ว่าผมเป็นเกย์ แต่ถ้าข่าวเรื่องการที่ผมชอบผู้ชายแพร่ออกไป ผมรำคาญครับ ขนาดผมเฝ้าปฏิเสธคนที่มาจีบผมไปเกือบหมดจนคนอื่นเขาเลิกตื้อผมแล้วพี่บอมยังไม่ยอมถอยซะที ถ้าพี่เขารู้ว่าผมชอบผู้ชายผมกลัวครับ กลัวว่าเขาจะมายุ่งวุ่นวายกับผมมากกว่าเดิม แล้วไหนจะยังโอมอีก ผมไม่คิดว่าโอมจะเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ได้อีกถ้าโอมรู้ว่าผมชอบผู้ชาย

 

     จะบอกว่าผมจงใจทำให้มันคลุมเครือก็ได้ครับ เพราะการที่อะไรมันยังไม่ชัดเจนแบบนี้ก็ช่วยให้ผมมีกำแพงไว้ปกป้องตัวเองเหมือนกัน แล้วผมก็ไม่อยากโกหกใครอีกแล้วด้วย แต่การไม่พูดไม่ถือเป็นการโกหกใช่มั้ยครับ?

 

     “ถ้าพี่เขารู้ว่าเรามีแฟนเป็นผู้ชายเราว่าจะยิ่งไปกันใหญ่นะ”

 

     “ก็โกหกไปดิ่ต้น”

 

     “เราไม่อยากโกหกใคร ถ้าพี่บอมเกิดไม่เชื่อให้เราพาแฟนมาให้ดู นายจะให้เราไปหาใครมายืนยันกับพี่บอมละ”

 

     “แย่จังว่ะ”

 

     ในที่สุดอาร์มก็เหมือนจะตามความคิดผมทันซะที

 

     “อื้ม ทางเดียวที่จะทำให้พี่บอมตัดใจคือเราต้องบอกไปว่ามีแฟนแล้วและก็ชอบผู้หญิงน่ะแหละ แต่เราไม่อยากโกหกใครอีก เราอุตส่าคิดว่าพอเวลาผ่านไปเดี๋ยวพี่เขาก็เลิกตื้อเราเอง ใครจะรู้ล่ะว่าพี่เขายังตื้อเราไม่เลิก”

 

     “ต้นนี่มีคนมาชอบเยอะเนาะ นอกจากพี่บอมก็มีอีกตั้งหลายคนมาชอบ แต่พอต้นไม่เล่นด้วยก็เริ่มหายไป มีแต่พี่บอมนี่แหละที่ยังไม่เลิกตื้อนายซะที”

 

     อาร์มหันมายิ้มให้ผมจนเห็นฟัน ผมชอบอาร์มนะ นิสัยไม่คิดอะไรมากแบบนี้อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี ผมชอบที่จะอยู่กับคนที่ทำให้ผมสบายใจไม่อึดอัดแบบนี้ครับ

 

     “ช่างเถอะ ถ้าไม่ทำอะไรให้เราเดือดร้อนก็ไม่อยากไปว่าอะไรพี่เขาหรอก แค่รำคาญนิดๆ หน่อยๆ พอทนได้”

 

     “ขอโทษนะ เราไม่น่าชวนนายมาเข้าชมรมนี้เลย”

 

     “ไม่เป็นไรหรอก ก็สนุกดีนะ ว่าแต่ นายมีอะไรจะพูดกับเราเหรอ”

 

     อาร์มเงียบไปพักหนึ่งแล้วก็หันมาถามผมด้วยเสียงขลาดๆ

 

     “ต้นรู้เรื่องแม็กซ์แล้วยัง”

 

     “อ๋อ รู้แล้ว แม็กซ์เล่าให้ฟังแล้วละ”

 

     พอได้ยินว่าผมคุยกับแม็กซ์แล้ว หน้าอาร์มก็บานไม่หุบเลยครับ

 

     “จริงดิ่ งั้นนายก็หายโกรธแม็กซ์แล้ว”

 

     “เราไม่ได้โกรธอะไรแม็กซ์”

 

     ผมยังคงปฏิเสธ ผมไม่ได้โกรธ หรือเกลียดอะไรแม็กซ์ เพียงแต่ ... ผมแค่อึดอัดเวลาอยู่กับแม็กซ์ก็แค่นั้น

 

     “ค่อยยังชั่ว เราบอกให้มันโทรหานายตั้งนานแล้วแต่มันไม่ยอม แถมความจริงมันลงมากรุงเทพได้หลายเดือนแล้วด้วย แต่มันก็บอกว่ายังไม่อยากบอกนายอีก ขอให้มันติดก่อน แล้วพอมันติด มันก็ไม่ยอมโทรหานายซะที พอเราจะบอกนาย มันก็ดันมาห้ามอีก ไม่รู้จะกลัวอะไร เราบอกมันว่านายไม่ได้โกรธมันๆ ก็ไม่เชื่อ”

 

     ผมฟังอาร์มพล่ามไปเรื่อยๆ เพียงแต่ในหัวผมไม่ได้ยิ้มตามใบหน้าที่กำลังส่งยิ้มให้อาร์ม ผมนึกถึงคำพูดของแม็กซ์ “มากินข้าวด้วยกันมั้ย เราเลี้ยงเอง ชวนไอ้อาร์มมาด้วยก็ได้ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

 

     ผมยกข้อมือขึ้นดูเวลา พึ่งบ่ายสอง ผมตัดสินใจว่าผมต้องโทรหาเมษ ผมอยากปรึกษาเมษเรื่องนี้

 

     ผมยังนั่งคุยกับอาร์มอีกนิดหน่อย ก่อนจะบอกลาอาร์ม พอเราแยกกันแล้วผมก็โทรหาเมษทันที เมษรับสายแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะเสียงเหมือนอยู่ในห้องเรียน ผมบอกว่าอยากเจอกันมีธุระด่วนจะปรึกษา เมษวางสายไป แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีข้อความมาบอกผมว่าวันนี้เมษเลิกช้ามาก ถ้าผมอยากเจอไว้เดี๋ยวเมษค่อยแวะมาที่ห้องผมตอนเย็นๆ จะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรบ้านเราก็ไม่ได้ไกลกันมาก และเมษรู้ดีว่าวันนี้ผมอยู่คนเดียว

 

     แต่ผมที่กำลังว่างและอยากหนีจากผู้คนที่มหาวิทยาลัยตัวเองตัดสินใจจะไปหาเมษ ผมเดินไปขึ้นรถ BTS ไปยังสถานีหมอชิตก่อนจะต่อรถเมล์ไปยังมหาวิทยาลัยเกษตรทันที ผมเคยมาที่นี้บ่อยแล้ว เพราะบางครั้งพี่ชัชก็ชวนผมมาเดินงานเกษตรเล่น พี่ชัชชอบต้นไม้ครับ แล้วก็ชอบมาเหมามะขามที่งานเกษตรมากๆ ด้วย หรือบางทีก็เป็นเมษที่ชวนผมมางานของมหาลัยมัน ผมจึงหาทางไปยังคณะของเมษได้ไม่ยาก

 

     พอมาถึง ผมก็ส่งข้อความไปบอกว่าผมมาถึงแล้ว รออยู่ในร้านกาแฟที่เดิมใกล้ๆ คณะมัน นั่งรออยู่แถวนั้นราวๆ ชั่วโมงกว่า เมษมาเดินมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเขา สาวสวยผมยาวดัดปลายเป็นลอนสีน้ำตาล แต่งหน้าลุคใสๆ แต่งตัวเรียบร้อยตามแฟชั่นแต่พองาม คนนั้นคือเพื่อนสนิทของผมเอง

 

     ปีนี้เมษแต่งหญิงเต็มที่ครับ แถมยังไปทำหน้าอกมาแล้วด้วยเมื่อตอนปิดเทอม พอมีหน้าอกบวกกับผมยาวๆ แต่งหน้าแบบจัดเต็ม เมษก็ดูเป็นผู้หญิงคนนึงที่สวยมากๆ ครับ ดูออกแนวสาวมั่น ว่าแต่ผมบอกคุณแล้วรึยังครับ ว่าเมษเป็นกระเทย แล้วก็เป็นเพื่อนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด เวลาที่ผมมีเรื่องอะไรไม่สบายใจผมก็มักจะมาปรึกษากับเมษ เพราะเมษมักจะทำให้ผมยิ้มได้ทุกครั้ง แล้วก็จะสอนแง่คิดต่างๆ ให้ผม คอยปลอบผมเวลาที่ผมไม่สบายใจ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกเหมือนอยู่กับพี่สาวเลยครับ

 

     ผมนั่งรอเมษอยู่ที่ร้านกาแฟ พอเมษเห็นผม เราก็ยิ้มทักทายกัน โดยเฉพาะพวกเพื่อนๆ ที่มากับเมษด้วย ยิ้มให้ผมซะหวานสุดๆ ไปเลยครับ แต่ละคนออกท่าออกทางมากๆ ในกลุ่มมีทั้งคนที่แต่งหญิงเหมือนเมษแล้วก็คนที่ยังใส่กางเกงแบบผู้ชายอยู่

 

     “แกนะแก มาทำไมห๊ะ ฉันก็บอกแกแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าง เรียนถึงเย็น”

 

     “ก็เราว่าง แล้วก็อยากเจอเมษมากนี่”

 

     “อุ๊ยตาย ใครอ่ะแก เรียกชื่อเก่าแกด้วยนังเมษา”

 

     “แก๊ นังต้นนะนังต้น บอกกี่ทีแล้วว่าเวลาอยู่ข้างนอกให้เรียกฉันว่าเมษา ดูสิโดนล้อเลยฉัน”

 

     “ขอโทษๆ เราลืม เรียกเมษจนชิน”

 

     เมษวีนใส่ผมนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธีพลางเดินเข้ามายังโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ แต่เพื่อนๆ ของเขากลับตามมาด้วย

 

     “บอกกี่ทีแล้วอยู่ต่อหน้าคนอื่นให้เรียกเมษา เมย์เฉยๆ ก็ได้”

 

     “ก็ชื่อเมย์ซ้ำกับเพื่อนที่คณะเรานี่นา เราไม่ถนัด”

 

     “นี่แก จะไม่แนะนำให้เพื่อนให้ฝูงรู้จักเลยเหรอย๊ะ ต๊าย มีแอบคบเด็กจุฬาด้วยอ่ะ ไฮโซ”

 

     “โอ๊ย อิพวกนี้ จะตามฉันมาทำไมเนี่ย ตามาแล้วก็มาขัดคอ”

 

     “พวกฉันก็แค่อยากแวะมากินเค้กแล้วก็ดูหน้าผู้ชายของแกน่ะสิยะ ฮ่าๆ”

 

     นั่งฟังพวกเขาคุยกันแล้วก็ขำดีนะครับ ฮ่าๆ จิกกันได้อีกอ่ะ แถมตอนนี้แต่ละคนเริ่มมาจับจองที่นั่งข้างๆ ผมแล้วด้วย ปล่อยให้เมษยืนบ่นอยู่ที่เดิม จนเมษตอนเดินมาดึงๆ พวกเขาหรือเธอพวกนั้นออกไปให้พ้นจากตัวผม

 

     “น้อยๆ หน่อย อย่ามาเกาะแกะเพื่อนฉันย่ะ”

 

     “แหม เพื่อนรึผัว หวงจริงนะแก แค่ลูบๆ คลำๆ แค่นี้ไม่สึกหรอหรอกมั้งแก แบ่งผู้ชายให้เพื่อนใช้บ้างได้บุญนะ”

 

     “ฉันหวังดีกับพวกแกหรอกย่ะ กลัวแฟนนังต้นมันจะมากระทืบพวกแกเอา แฟนมันขี้หึงจะตาย”

 

     “โอ๊ย มีแฟนแล้วเหรอคะเนี่ย แหมเสียดายจังเลย อยากเปลี่ยนแฟนใหม่เมื่อไหร่บอกนะคะ จะรีบไปสมัครอ่ะ”

 

     “อ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ ถึงมีแฟนแล้วเอมมี่ก็ไม่ถือ”

 

     “แหม ชื่อต้นเหรอ ชื่อเท่จังเลยอ่ะ แม๊นแมน”

 

     แหม ยังอุตส่าทำท่าดีดดิ้นกันได้อีกนะครับ แต่ละคนยิงคำถามมาซะผมตอบแทบไม่ทัน แล้วไหนจะแย่งกันพูดเองอีก เพื่อนของเมษนี่ตลกจังเลย ฮ่าๆ

 

     ดูสีหน้าเพื่อนผมสิ เมษทำหน้าเบื่อได้ขำมากอ่ะ สายตาจิกมาก เห็นแบบนั้นผมก็เลยนั่งเงียบๆ ดูโชว์สนุกๆ ของเพื่อนผมต่อไป

 

     “นี่พวกแก ดูปากฉันนะ นี่เพื่อนสนิทอิฉันชื่อนังต้นค่ะ มันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของฉันเอง ไม่ใช่ผัว! เพราะงั้นฉันไม่ได้กันท่าพวกแก แต่ที่บอกไปเนี่ยเพราะไม่อยากให้พวกแกหวังลมๆ แล้งๆ ย่ะ ดูปากฉันให้ชัดๆ เลยนะ นังต้นมันมีผัวแล้ว!”

 

     โอ้ย ขำอ่ะครับ ฮ่าๆ หน้าเพื่อนๆ ของเมษตอนนี้นี่แบบว่า แต่ละคน ผมขำสุดๆ จนพูดไม่ออกเลย น้ำตาเล็ดเลยครับ

 

     “อ้าว พวกเดียวกันก็ไม่บอก”

 

     “อุ๊ยไม่เป็นไรค่ะ แต่เอมี่ยังได้อยู่นะคะ เพราะเอมี่แก้อีมี่กลับสถานะได้คะ”

 

     “น้อยๆ หน่อยนังเอมี่ เดี๋ยวผัวนังต้นมันก็มาตบเอาหรอก แกก็ด้วยนังต้น จะนั่งขำไปถึงเมื่อไหร่ยะ แล้วนี่มีปัญหาอะไรถึงได้ถ่อมาหาฉันถึงนี่ บอกให้รอตอนเย็นก็ไม่รอ”

 

     “ขอโทษๆ ก็เราไม่รู้ว่าจะพูดตอนไหนดีนี่นา”

 

     “เห็นมั้ยเพราะพวกแกแหละ พูดมากจนเพื่อนฉันพูดไม่ทัน”

 

     เมษคว้าแก้วชาไข่มุกของผมขึ้นไปดูดทันที ก่อนจะทำตาปะหลับปะเหลือกใส่เพื่อนๆ เนียนตลอดเลยนะเมษ

 

     “แล้วตกลงแกมานี่มีอะไรด่วนๆ ย่ะ มีอะไรไม่สบายใจอีกล่ะ”

 

     “แค่ได้เจอเมษก็หายแล้ว”

 

     ผมไม่ได้หยอดนะครับ แต่เมษทำให้ผมขำได้จริงๆ แล้วมันก็ทำให้ผมสบายใจมากด้วย ผมก็เลยเผลอยิ้มให้เมษไปด้วยหัวใจที่เบาขึ้น แต่ลืมไปว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยเยอะ

 

     “โอ๊ยตายแล้ว อยากได้ต้นเป็นผัวจังเลยค่ะ สมัครเป็นสามีไม่ได้ขอเป็นภรรยาแทนก็ได้ค่ะ”

 

     “เอ๊ะ ยังอีกอีนี่นิ ไป๊ๆ พวกแก เพื่อนเขาจะคุยกัน”

 

     “แหมนังเมษา พอผู้ชายมาละทิ้งเพื่อนเชียวนะ”

 

     “นังต้นมันก็เพื่อนฉันย่ะ คบกันมานานกว่าพวกแกอีก”

 

     ว่าแล้วเมษก็จัดการไล่พวกเพื่อนๆ พวกนั้นไปด้วยการคว้ามือดึงผมออกจากร้านครับ ก็คือไล่ไม่ได้เราก็เดินหนีแทนนั่นแหละครับ แล้วพอมานั่งนึกๆ ดูแล้ว ผมก็พึ่งมาสนิทกับเมษก่อนคนพวกนั้นได้ไม่นานหรอกครับ เราเพิ่งมาสนิทกันตอนจะจบ ม.6 นี้เอง

 

     “เอ้า แกมีอะไรก็บอกมา”

 

     โชคดีที่รถตู้ไม่ค่อยมีคนมาก ผมกับเมษนั่งหลังสุด เราเลยคุยกันได้สบายๆ

 

     “พรุ่งนี้ตอนคาบบ่ายเราว่างไม่มีเรียน แต่พี่ชัชกลับมาถึงสนามบินตอนห้าทุ่ม”

 

     “แล้วไงย๊ะ”

 

     “มีคนชวนเราไปทานข้าวด้วยกันตอนเย็น”

 

     “แล้วมันทำไมละย๊ะ แกถึงต้องถ่อมาหาฉันถึงที่นี่เนี่ย โทรคุยไม่ได้เหรอ หรือไม่ก็รอฉันไปหาแกคืนนี้ก็ได้”

 

     ผมเงียบไปพักนึงก่อนจะพูดออกมา

 

     “แม็กซ์กลับมากรุงเทพแล้วนะ แม็กซ์สอบใหม่ ได้ที่ธรรมศาสตร์”

 

     “แก...”

 

     “อืม แม็กซ์โทรมาชวนเราไปกินข้าว พรุ่งนี้ บอกว่าให้ชวนอาร์มไปด้วยก็ได้ ... แต่เราบอกแม็กซ์ไปว่าขอคิดดูก่อน เพราะว่าเราไม่แน่ใจว่าวันนี้จะทำงานเสร็จมั้ย ถ้าไม่เสร็จพรุ่งนี้ก็ไม่ว่าง แล้วเราจะโทรบอกแม็กซ์เย็นนี้”

 

     “โกหกอีกละสิแก”

 

     ผมพูดอะไรไม่ออก เมษรู้ทุกอย่าง คงเพราะคบกันมานาน เมษเลยเดานิสัยของผมออก และก็ดักทางผมได้ถูกตลอด ผมคิดว่าตรงส่วนนี้เมษคล้ายๆ พี่ชัชอยู่หน่อยนึงนะครับ นอกจากนั้น เมษยังรู้เรื่องราวระหว่างผมกับแม็กซ์ แล้วก็เรื่องของผมกับพี่ชัชด้วย ผมไม่มีอะไรปิดบังเมษ แม้แต่เรื่องที่แม็กซ์ส่งข้อความมาหาผม ผมก็เล่าให้เมษฟังหมด

 

     “เราจะไปหาแม็กซ์ดีมั้ยอ่ะเมษ”

 

     “แล้วแต่แกสิ แม็กซ์มันก็ดูทำใจได้แล้วนี่”

 

     “อืม แต่เรา... ไม่รู้สิ เราละอายอ่ะเมษ เราไม่กล้าสู้หน้าแม็กซ์ เรา... ทำกับเขาไว้เยอะ”

 

     “รู้ตัวด้วยเหมือนกันนี่แก เฮ้อ... ไปจบมันซะนะนังต้น จบให้ดีๆ ล่ะ แม็กซ์มันทำเพื่อแกถึงขนาดนี้แล้ว”

 

     สายตาของเมษที่มองมามันทั้งปลอบใจแล้วก็เหนื่อยหน่ายกับนิสัยของผม แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีนะครับ เพราะเมษกล้าที่จะติผมตรงๆ แล้วก็ให้คำแนะนำที่ดีไปพร้อมๆ กัน แถมยังให้กำลังใจผมด้วย

 

     “อืม ก็คงต้องเป็นแบบนั้นมั้ง ขอบใจนะเมษ ถ้าไม่ได้คุยกับนาย เราคงไม่กล้าเผชิญหน้ากับแม็กซ์หรอก”

 

     “ไม่เป็นไรย่ะ เพื่อนต้องช่วยเพื่อน ว่าแต่ ต้องให้ฉันตามไปเป็นกำลังสำรองมั้ยย๊ะ เผื่อมันจะฉุดแกอีกไง”

 

     “บ้าเหรอ ฮ่าๆ คงนัดกันในห้างแหละ”

 

     “อ๊าว ใครจะไปรู้ เผื่อมันหน้ามืดอีกไงแก แบบพอเห็นหน้าแกปุ๊ปเกิดอารมณ์ปั๊ปแล้วก็ลากแกไปอีกอ่ะ”

 

     ผมตอบอะไรไม่ถูกนอกจากนั่งขำ ผมบอกคุณแล้วว่าเมษทำให้ผมสบายใจได้เสมอ เมษทำให้ผมหัวเราะได้ทุกครั้งเวลาที่ผมมีเรื่องกลุ้มใจ ผมรักพี่สาวคนนี้มากครับ ทั้งๆ ที่เมษเป็นน้องเดือนผม แต่เมษเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเยอะเลย

 

     เราแยกกันตรงบางกะปิครับ เมษไม่ได้มาที่ห้องกับผม เพราะผมสบายใจแล้ว เมษก็ขอตัวกลับบ้าน ผมกลับคอนโดเองคนเดียว ห้องของพี่ชัชที่ผมอาศัยอยู่ด้วยเงียบเหงาไม่ต่างกันเท่าไหร่กับตอนที่ผมอยู่ห้องตัวเองคนเดียวสมัยก่อนตอนที่คุณแม่ผมยังบินอยู่บ่อยๆ  พอจัดการหาอะไรในตู้เย็นออกมาอุ่นทานเป็นมื้อเย็นเสร็จแล้ว ผมก็โทรหาแม็กซ์ ผมตกลงไปทานข้าวเย็นกับแม็กซ์ ผมนัดกับแม็กซ์ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ มหาวิทยาลัยของผมนั่นแหละครับ เราคุยกันอยู่เกือบชั่วโมงก่อนที่ผมจะขอตัวไปทำงานของผมต่อ

 

     ผมได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ผมคงยิ้มให้แม็กซ์ได้ซะที ผมควรจะยิ้มให้แม็กซ์ได้แล้ว ผมได้แต่บอกตัวเองอยู่แบบนั้น

 

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

 

The story after that. - ต้นน้ำ

  • Facebook Classic

FOLLOW ME

bottom of page